วิกเตอร์ โมเซส แข้งความเร็วสูงที่ เบรนดัน ร็อดเจอร์ส ยืมตัวมาจากเชลซีโดยหมายมั่นปั้นมือจะให้เข้ามาเป็นหนึ่งในอาวุธทีเด็ดในการโจมตีทางริมเส้นของ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล
โมเศสนั้นอพยพจากไนจีเรียนมาตั้งรกรากแถวลอนดอนใต้เมื่ออายุได้ 11 ปี ซึ่งบริเวณนี้เป็นถิ่นของสโมสรคริสตัล
พาเลซ และนั่นทำให้เจ้าตัวได้รับโอกาสฝึกฝนฟุตบอลที่นี่เป็นแห่งแรกในช่วงอายุ 14 ปี
ในระดับเยาวชนนั้น โมเซสทำผลงานให้กับ ดิ อิเกิ้ล ได้อย่างยอดเยี่ยมมากเขาพา คริสตัล พาเลซ คว้าถ้วยแชมป์มากมายในระดับทีมโรงเรียน จนทำให้ได้รับการจับตามองอย่างมากจากหลายๆ สโมสรในกรุงลอนดอนเวลานั้น
อย่างไรก็ตามเป็นคริสตัล พาเลซนี่เองที่สามารถมัดใจให้โมเซสอยู่กับทีมได้ต่อไป และในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2007
โมเซสได้ลงสัมผัสเกมชุดใหญ่ให้กับคริสตัล พาเลซนัดแรก ในเกมที่พบกับ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ในศึกเดอะ แชมเปี้ยนส์ชิพ หลังจากนั้นด้วยวัยแค่ 17 ปี โมเซสก็สามารถสอดแทรกตัวเองขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ได้อย่างสม่ำเสมอ ทำประตูรวมได้ทั้งหมด 3 ประตูในฤดูกาลแรกพร้อมกับได้รับสัญญาใหม่ 4 ปีจาก ดิ อิเกิ้ลส์ทันทีที่ฤดูกาลจบลง
โมเซสค้าแข้งอยู่กับ คริสตัล พาเลซ ได้อีกเพียงแค่ 1 ฤดูกาลครึ่งเท่านั้น จากฟอร์มอันร้อนแรงทำให้เขาถูก วีแกน
แอธเลติก ทีมในระดับพรีเมียร์ลีกขณะนั้นคว้าตัวไปร่วมทีมต่อด้วยค่าตัว 2.5 ล้านปอนด์ในเดือนมกราคม 2010 ซึ่งเจ้าตัวก็ได้สัมผัสเกมพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในวัย 19 ปีในอีกหนึ่งเดือนต่อมาในเกมที่เสมอกับ ซันเดอร์แลนด์ 1-1
โมเซสมาพังประตูแรกของตัวเองในพรีเมียร์ลีกได้ในเกมพบกับ ฮัลล์ ซิตี้ ในเดือนพฤษภาคม 2010 และจบฤดูกาลแรกกับวีแกนไปด้วยผลงาน 14 นัดทำได้ 1 ประตู
ฤดูกาลถัดมาโมเซสได้รับบาดเจ็บติดๆ กันถึงสองครั้ง ทำให้เขาเริ่มหลุดไปจากทีมตัวจริง แต่ก็ยังถูกเรียกใช้งานอยู่เรื่อยๆ จนมาในฤดูกาล 2011-12 การย้ายทีมของ ชาร์ลส์ เอ็นซ็อกเบีย ทำให้โมเซสก้าวขึ้นมายึดตำแหน่งตัวจริงในทีม
วีแกนได้อย่างเต็มตัวอีกครั้ง
ในฤดูกาลนี้โมเซสถือเป็นกำลังหลักของ เดอะ ลาติกส์ เลยทีเดียวโดยลงสนามไปทั้งหมดถึง 39 นัดทำได้ 6 ประตูจากทุกรายการ
และในฤดูกาล 2012-13 ที่ผ่านมา เมื่อฤดูกาลเปิดฉากไปได้เพียงแค่ 1 สัปดาห์ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ก็คว้าตัวเขามาร่วมทีมเชลซีได้สำเร็จด้วยค่าตัวสูงถึง 11 ล้านปอนด์ หลังจากเพียรพยายามขอซื้อจากวีแกนมาแล้วถึง 4 ครั้ง 4 คราก่อนหน้านี้แต่โดนปฏิเสธมาตลอด
ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์นั้น โมเซส ยังไม่สามารถสอดแทรกตำแหน่งในทีมตัวจริงได้อย่างถาวรเพราะ เชลซี นั้นเต็มไปด้วยสตาร์มากหน้า โดยโมเซสเป็นเพียงแค่ตัวทีเด็ดที่มักจะถูกเปลี่ยนลงมาเล่นยามที่ทีมต้องการตัวเปลี่ยนเกมเท่านั้น
แต่ถึงขนาดไม่ค่อยได้เล่นเต็มๆ แต่โมเซสก็ยังสามารถฝากผลงานการทำได้ถึง 10 ประตูจากการลงสนาม 43 นัด โดยเฉพาะในฟุตบอลยุโรปที่เชลซีลงแข่งนั้น โมเซสทำไปได้ถึง 5 ประตูเลยทีเดียวซึ่งเชลซีเองก็คว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก
มาครองด้วย
อย่างไรฤดูกาลนี้เชลซีมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมมาเป็น โจเซ่ มูรินโญ่ และเขาก็ได้ดึงเอานักเตะใหม่หลายรายมาเสริมทัพโดยเฉพาะนักเตะตัวทำเกมในแดนกลาง นั่นทำให้เขาพร้อมที่จะเปิดโอกาสให้โมเซสย้ายทีมเพื่อการลงสนามที่มากขึ้น
ซึ่งก็ต้องถือว่าเข้าทางลิเวอร์พูลพอดีที่กำลังมองหน้านักเตะที่มีความเร็ว สร้างเกมรุกริมเส้นได้ดีอย่าง โมเซส พอดี
เบรนดัน ร็อดเจอร์ส จึงได้ยื่นข้อเสนอไปที่ทางเชลซีเพื่อขอซื้อตัว แต่ทว่าทางเชลซีนั้นยังไม่พร้อมที่จะขายขาด จึงปล่อยตัว โมเซสออกมาด้วยสัญญายืมตัวยาว 1 ปีแทน
สำหรับเส้นทางในทีมชาตินั้น โมเซสติดทีมชาติอังกฤษชุดเล็กมาแล้วทุกระดับไล่ตั้งแต่ ยู 16-21 ผ่านการเล่นในศึกฟุตบอลโลก ยู 17 และ ยูโร ยู 19 มาแล้วด้วย แต่สุดท้ายเจ้าตัวเลือกเล่นให้ทีมชาติไนจีเรียชุดใหญ่ตามบ้านเกิด โดยถูกเรียกตัวติดทัพอินทรีมรกดเป็นครั้งแรกในปี 2011 พร้อมกับ โชล่า อเมโอบี้ ของ นิวคาสเซิ่ล หลังฟีฟ่าอนุญาติให้นักเตะสามารถเลือกรับใช้ทีมชาติอื่นได้ หากยังไม่เคยเล่นในระดับทีมชุดใหญ่มาก่อน และยังคว้าแชมป์แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ ร่วมกับไนจีเรียเมื่อช่วงต้นปี 2013 ที่ผ่านมาด้วย
เกียรติประวัติ : แชมป์ยูโรป้า ลีก [เชลซี 2012-13], แชมป์แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ [ทีมชาติไนจีเรีย 2013]
รางวัลส่วนตัว : รางวัลแฟร์ เพลย์ แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ [ทีมชาติไนจีเรีย 2013]
|