������ "หงส์แดง" ไม่พลาดสามแต้ม บุกไปอัด ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่เหลือ 10 คน 3-0 โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำสถิติใหม่ซัดประตูที่ 100 ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นแข้งแอฟริกันคนที่สองที่ทำได้ต่อจาก ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ทว่าต้องแลกมากับข่าวร้ายเมื่อต้องเสีย ฮาร์วี่ย์ เอลเลียต ที่บาดเจ็บหนักที่ข้อเท้า ซึ่งสามแต้มของ ลิเวอร์พูล ทำให้มีเพิ่มเป็น 10 คะแนนเท่ากับจ่าฝูง แมนฯยูไนเต็ด และเชลซี แม้ลูกได้เสียจะเท่ากันแต่ยิงได้น้อยกว่าผีแดง เลยยึดอันดับ 3 ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
��� พรีเมียร์ลีก อังกฤษ "ซันเดย์ ไนท์" คู่เดียวของวันอาทิตย์ที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา เจ้าบ้าน ลีดส์ ยูไนเต็ด อันดับ 17 ที่ยังไม่ชนะใครเปิด เอลแลนด์ โร้ด รับการมาเยือนของ ลิเวอร์พูล อันดับ 7 ที่ยังไม่แพ้ใคร โดยสถิติ 10 เกมล่าสุดทุกรายการ "หงส์แดง" เหนือกว่าชนะถึง 7 เสมอ 3 ฟอร์มล่าสุดก่อนเบรกทีมชาติ "ยูงทอง" บุกไปเสมอ เบิร์นสลี่ย์ 1-1 เช่นเดียวกับ ลิเวอร์พูล เสมอกับ เชลซี 1-1 ที่แอนฟิลด์ ซึ่งเกมนี้หาก พวกเขาคว้าชัยจะทำแต้มทาบจ่าฝูงทั้ง แมนฯยู และเชลซี ทันที
��� มาร์เซโล่ บิเอลซ่า เกมนี้จัด พาทริก แบมฟอร์ด หัวหอกตัวเก่งเป็นหน้าเป้า โดยมี ราฟินญ่า, โรดริโก้ โมเรโน่ และแจ็ค แฮร์ริสัน ปั้นเกมรุก ขณะที่ แดเนี่ยล เจมส์ ปีกตัวใหม่ที่ซื้อมาจาก "ผีแดง" เริ่มต้นเป็นสำรองข้างสนาม
��� ส่วน เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้ก๊วนบราซิลลงสนามไม่มีปัญหาทั้ง อลิสซอน และ ฟาบินโญ่ ส่วน โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ มีอาการเจ็บไม่มีชื่อในเกมนี้ แนวรุกยังใช้สามประสานอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดีโอโก้ โชต้า และ ซาดิโอ มาเน่ เหมือนเดิม
��� เปิดฉากมาแค่ 6 นาทีแรก เจ้าบ้าน "ยูงทอง" ได้ทักทายก่อนเลยหลัง โรดริโก้ โมเรโน่ อัดด้วยซ้ายกลางประตูแต่บอลพุ่งไปตรง อลิสซอน ทุบออกไปได้ ไม่ถึงนาทีต่อมา เทรนท์ อาร์โนลด์ ชิงตัดบอลได้ก่อนครอสเลียดไปในกรอบ 6 หลา ดีโอโก้ โชต้า พุ่งไปถึงบอลผ่านหน้าปากประตูไปแบบได้เสียว
��� นาที 11 โชต้า ปล่อยบอลให้ มาเน่ พลิกบอลซัดนอกกรอบไปติดบล็อค ยอเรนเต้ ออกหลัง ก่อนอีกนาทีต่อมา มาเน่ เจ้าเดิมเรียกฟรีคิกหน้ากรอบพร้อมกับใบเหลืองของ เลียม คูเปอร์ ทว่าจังหวะนี้ เทรนท์ เปิดฟรีคิกเข้าไปไม่ดีบอลเลยหลังไปแบบหมดลุ้น
��� นาที 15 "หงส์แดง" เกือบได้ลุ้นขึ้นนำคราวนี้ ซาลาห์ หลอดบอลเข้ามาในกรอบเขตโทษ ดีโอโก้ โชต้า พักอกแต่บอลห่างตัวไปทำให้เร่งจังหวะยิงเลยเบาไปตรงตัว อิลล็อง เมสลิเย่ร์ ใช้มือเดียวปัดบอลก่อนตามรับไว้ได้
��� นาที 20 ลิเวอร์พูล มาชิงขึ้นนำ 1-0 จนได้ บอลเริ่มจาก มาติป ไหลออกขวาให้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ปาดมาเสาแรกให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ วิ่งมาแปด้วยซ้ายผ่ามือ เมสลิเย่ร์ เข้าไป เป็นประตูที่ 100 ในพรีเมียร์ลีกของดาวยิงชาวอียิปต์
��� นาที 25 นาทีต่อมา ซาลาห์ เปิดมาเสาไกลให้ ติอาโก้ อัลกันตาร่า สอดมาโขกเข้าไปตุงตาข่าย แต่ผู้ตัดสินเป่าเป็นล้ำหน้าของ ซาลาห์ ไปก่อน
��� เกมรุกของ "หงส์แดง" ยังกดดันอย่างต่อเนื่อง อีกนาทีถัดมา ชวดได้เม็ดที่สองนำห่าง หลัง โชต้า เก็บบอลได้ทางขวากระชากถึงเส้นหลังแล้วปาดมาให้ มาเน่ ได้ยิงจ่อๆ ไม่ถึง 6 หลา แต่บอลย้อนหลังไปนิดทำให้ยิงเหินคานออกไปแบบน่าเสียดาย
��� แนวรับยูงทองโดนทดสอบอย่างหนัก นาที 27 แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ไหลเข้ากลางให้� ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ซัดไปติดบล็อคก่อนเจ้าตัวตามไปเก็บบอลแตะหลบแล้วซัดมุมแคบด้วยขวาแต่ อิลล็อง เมสลิเย่ร์ ยังตามมาปิดมุมเซฟออกไปได้อีก
��� เครื่องจักรสีแดงเดินหน้าลุยมาติดๆ นาที 31 โม ซาลาห์ จ่ายสั้นๆเข้ากลางให้ ซาดิโอ มาเน่ จับบอลก่อนตะบันด้วยซ้ายพุ่งเลียดถากเสาไกลไปแบบได้ลุ้น
���
��� นาที 33 มาร์เซโล่ บิเอลซ่า นายใหญ่ของยูงทองต้องเปลี่ยนตัวคนแรกหลัง ดีเอโก้ ยอเรนเต้ เล่นต่อไม่ไหวต้องส่ง ปาสกาล สเตราค์ ลงเล่นแทน
���� ท้ายเกม นาที 44 "ยูงทอง" พลาดโอกาสไล่ตีเสมอหลัง โรดริโก้ โมเรโน่ ครอสบอลยาวมาเสาไกลให้ ลุค อายลิ่ง เติมขึ้นมาทว่าเจ้าตัวตัดสินใจไม่ดีดันใช้เข่ากระแทกบอลหลุดกรอบออกไป
��� จบครึ่งแรก ลีดส์ ตามหลัง ลิเวอร์พูล 0-1
��� ครึ่งหลัง "ยูงทอง" เปลี่ยนตัวคนที่สองถอดเอา โรดริโก้ โมเรโน่ ออกแล้วส่ง ไทเลอร์ โรเบิร์ตส ลงเล่นแทน
��� นาที 49 หงส์แดงเกือบได้เม็ดที่สองหลังบอลเลย มาเน่ มาถึงเสาไกลให้ ซาลาห์ ตามมาซัดไปแฉลบบล็อค จูเนียร์ ฟีร์โป้ ออกหลัง
��� กระนั้น นาที 50 ลิเวอร์พูล ได้ประตูที่สองขึ้นนำจนได้ จากจังหวะต่อเนื่องจากลูกเตะมุม� เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เปิดมาให้ ฟาน ไดค์ ขึ้นโขกบอลบอลไปตกหน้า ฟาบินโญ่ ซัดจังหวะแรกไปติดแต่ยังมาเข้าเท้าขวาอีกทีหวดลอดขา ลุค อายลิ่ง เข้าไปไม่เหลือ ก่อนที่วีเออาร์จะเช็กแล้วยืนยันให้ "หงส์แดง" นำห่าง 2-0
��� นาที 58 เป็นข่าวร้ายของ "หงส์แดง" เมื่อต้องมาเสีย ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ห้องเครื่องดาวรุ่งที่กำลังเล่นได้ดีหลังมาโดน ปาสกาล สเตราค์ เสียบจากด้านหลังจนข้อเท้าหักทำให้ทีมแพทย์ต้องรีบเข้าไปดูอาการด่วน ก่อนที่ เคร็ก พาวสัน จะเดินมาแจกใบแดง สเตราค์ ตัวสำรองที่ลงมาเล่นในครึ่งแรก ส่วน เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องเปลี่ยนให้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ลงมาเล่นแทนไอ้หนูเอลเลียต ในนาที 64
��� นาที 68 "ยูงทอง" เปลี่ยนคนสุดท้ายส่ง แดเนี่ยล เจมส์ ปีกตัวใหม่ที่ซื้อมาจาก "ผีแดง" โดยลงมาเล่นแทน แจ็ค แฮร์ริสัน
��� นาที 73 เทรนท์ อาร์โนลด์ ได้บอลขึ้นมาในกรอบก่อนหักเข้าซ้ายไม่ถนัดซัดเลียดแต่ยังเบาไปเข้ามือ อิลล็อง เมสลิเย่ร์
��� แต่อีกสองนาทีถัดมา ลีดส์ ที่ตัวน้อยกว่าเกือบพังประตูตีไข่แตก หลัง ราฟินญ่า หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปถึงเส้นหลังแล้วปาดมาในกรอบให้ พาทริก แบมฟอร์ด เข้าชาร์ทแต่ยังดีที่ อลิสซอน ยังขวางช่วยเซฟไว้ได้
��� นาที 79 แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ไหลจากซ้ายเข้ากลางมาให้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน วิ่งมาอัดด้วยซ้ายไม่จับแต่บอลยังไปเข้ามือ อิลล็อง เมสลิเย่ร์ ที่พุ่งไปรับไว้ได้ทัน
��� นาที 81 มาเน่ ใช้โอกาสเปลืองอีกแล้วหลัง โชต้า ไหลให้นิ่มๆ ทว่าปีกชาวเซเนกัลยิงได้น่าผิดหวังไปติดเซฟของ เมสลิเย่ร์ ออกหลังไป
��� อีกสองนาทีถัดมา ติอาโก้ ทำเสียบอลกลางสนามโดน แบมฟอร์ด แย่งไปได้ก่อนลักไก่ยิงกว่า 45 หลาบอลลอยโด่งกำลังมุดใต้คานเข้าอยู่แล้วแต่ อลิสซอน ยังยอดเยี่ยมดีดตัวปัดมือเดียวออกหลังหวุดหวิด
��� ช่วงทดเจ็บ นาที 90+2 หงส์แดง มาพังประตูนำห่างเป็น 3-0 และคราวนี้ ซาดิโอ มาเน่ ไม่พลาดอีกแล้วหลังรับบอลจาก ติอาโก้ ก่อนซัดเต็มแรงเข้าไปไม่พลาด
��� จบเกม ลิเวอร์พูล บุกมาเอาชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด 3-0 เก็บสามแต้มมีเพิ่มเป็น 10 คะแนนเท่ากับจ่าฝูง แมนฯยูไนเต็ด และเชลซี แม้ลูกได้เสียจะ +8 เท่ากันแต่ยิงได้น้อยกว่า "ผีแดง" เลยยึดอันดับ 3 ส่วน "ยูงทอง" ยังไม่ชนะใครแข่ง 4 นัดมีแค่ 2 คะแนน รั้งอันดับ 17
��� รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
��� ลีดส์ ยูไนเต็ด (4-1-4-1) : อิลล็อง เมสลิเย่ร์ - ลุค อายลิ่ง, ดีเอโก้ ยอเรนเต้ (ปาสกาล สเตราค์ น.33 (ใบแดง น.60)), เลียม คูเปอร์, จูเนียร์ ฟีร์โป้ - คาลวิล ฟิลลิปส์ - ราฟินญ่า, สจ๊วร์ต ดัลลาส, โรดริโก้ โมเรโน่ (ไทเลอร์ โรเบิร์ตส น.46), แจ็ค แฮร์ริสัน (แดเนี่ยล เจมส์ น.68) - พาทริก แบมฟอร์ด
��� ผู้จัดการทีม : มาร์เซโล่ บิเอลซ่า
��� ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อลิสซอน เบ็คเกอร์ - เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจเอล มาติป, เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน - ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ (จอร์แดน เฮนเดอร์สัน น.64), ฟาบินโญ่, ติอาโก้ อัลกันตาร่า - โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดีโอโก้ โชต้า (อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอเลน น.82), ซาดิโอ มาเน่
��� ผู้จัดการทีม : เจอร์เก้น คล็อปป์
��� ผู้ตัดสิน : เคร็ก พาวสัน