ตั้งแต่เจอร์เกน คล็อปป์ เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลนับในวันที่ 8 ตุลาคม 2015 เขาได้เข้ามาปฏิวัติวิธีการเล่นฟุตบอลของทีม ด้วยกลยุทธ์เชิงเกเก้นเพรสซิง การซื้อตัวนักเตะที่เน้นคุณภาพและอนาคต รวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์อย่างมีชั้นเชิง จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจที่ในปัจจุบัน เจอร์เกน คล็อปป์มีสถิติเป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลที่มีอัตราคุมทีมชนะมากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร โดยเขามีอัตราคุมทีมชนะอยู่ที่ร้อยละ 61.1 หรือ 289 จาก 473 เกม ถือเป็นสถิติการคุมทีมชนะที่ดีกว่าเซอร์เคนนี ดัลกลิช, บ๊อบ เพส์ลีย์, ราฟาเอล เบนิเตซ และคนอื่น ๆ ทุกคน
และด้วยวันนี้ ในวันนี้คล็อปป์กำลังจะอำลาทีมที่เขาหมายมั่นปั้นมือสร้างมานานเกือบ 10 ปี คงจะไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่เราทุกคนมาเฉลิมฉลองต้นตอความสำเร็จของคล็อปป์ ด้วยการย้อนกลับไปดูการคุมทีมในเกมแรกในวันที่ 17 ตุลาคม 2015 โดยเป็นเกมที่ลิเวอร์พูลเดินทางไปเยือนท็อตแน่มฮ็อตสเปอร์ส ที่สนามไวต์ฮาร์ตเลน โดยในตอนนั้น ลิเวอร์พูลรั้งอันดับ 10 ของตารางคะแนน ด้วยผลงานชนะ 3 เสมอ 2 แพ้ 2
11 ตัวจริงชุดแรกของคล็อปป์ในเกมเจอสเปอร์ส
ผู้รักษาประตู
ในวันนั้นคล็อปป์เลือกใช้ประตูมือหนึ่งชาวเบลเยียมอย่าง ซิมง มินโญเล่ต์ ซึ่งเขาเองก็สามารถช่วยทีมเก็บคลีนชีตครั้งแรกภายใต้การคุมทีมของคล็อปป์ได้ และก็ยังได้รับความเชื่อใจจากคล็อปป์ต่อไปอีก 1 ฤดูกาลเต็ม ๆ ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยลอริส คาริอุส และอลิสซง เบ็คเกอร์ เขาลงเล่นให้กับลิเวอร์พูลไปทั้งหมด 204 ครั้ง พร้อมกับคว้าถ้วยยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกกับทีม 1 สมัย
กองหลัง
กองหลัง 4 คน คล็อปป์เลือกใช้ นาธาเนียล ไคลน์, มาร์ติน สเกอร์เทล, มามาดู ซาโก้ และ อัลเบอร์โต้ โมเรโน่ ซึ่งแต่ละคนก็มีเส้นทางอาชีพระหว่างอยู่ลิเวอร์พูล และย้ายออกจากลิเวอร์พูลไปเจออะไรแตกต่างกัน
ไคลน์เพิ่งย้ายจากเซาธ์แฮมป์ตันมาร่วมทีมในปีนั้นเป็นปีแรก และได้ลงเล่นไปมากถึง 52 เกมในทุกรายการ พร้อมทำ 5 ประตู ปัจจุบัน ไคลน์ยังเล่นฟุตบอลให้กับคริสตัลพาเลซ และถึงแม้จะไม่ได้เป็นตัวจริงให้กับทีมแล้ว แต่เขาก็ยังเป็นอะไหล่ที่น่าเชื่อถือและพึ่งพาได้
ในขณะที่สเกอร์เทลลงเล่นในฤดูกาลสุดท้ายของเขากับทีม หลังจากอยู่กับทีมมาอย่างยาวนาน 9 ปี เขาลงเล่นให้กับสโมสรมากถึง 320 เกม และคงจะไม่มีใครลืมฟอร์มในช่วงท้ายฤดูกาล 2013-2014 ของเขาในเร็ว ๆ นี้แน่ ๆ สเกอร์เทลเล่นฟุตบอลอาชีพจนถึงปี 2021 ก่อนจะแขวนสตั๊ดในลีกสูงสุดของสโลวาเกียซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิด
เช่นเดียวกัน ซาโก้เองก็กำลังลงเล่นในฤดูกาลสุดท้ายของเขากับทีม เขาปรากฏตัวให้กับลิเวอร์พูลไปทั้งหมด 80 เกมใน 3 ฤดูกาล ก่อนจะย้ายไปคริสตัลพาเลซ และปัจจุบันกำลังลงเล่นให้กับมงต์เปลิเเยร์
สุดท้าย โมเรโน่ เจ้าของประโยคถูกใจแฟนหงส์ Get out, Man United หลังจากเอาชนะแมน ยูไนเต็ดในศึกยูฟ่ายูโรปาลีกประจำฤดูกาล 2020/2021 โมเรโน่เป็นแบ็คซ้ายตัวหลักของคล็อปป์และลงเล่นไปถึง 50 เกม ก่อนจะได้รับโอกาสน้อยลงและย้ายกลับสเปนไปเล่นให้กับบียาร์เรอัล
กองกลาง
ในวันนั้น คล็อปป์เลือกใช้กองกลางทั้งหมดสามคน ได้แก่ เอ็มเร ชาน, อดัม ลัลลาน่า และ ลูคัส เลย์ว่า โดยปัจจุบัน ลูคัส เลย์ว่า เลิกเล่นฟุตบอลไปแล้ว หลังจากมีอาชีพที่ยาวนานกว่า 640 เกม และลงเล่นให้ลิเวอร์พูลไปเกือบ 350 เกม
อดัม ลัลลาน่า เป็นผู้เล่นคนแรกในรายชื่อนี้ที่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกกับทีมได้สำเร็จในฤดูกาล 2019-2020 รวมถึงแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลึก ก่อนจะลงเล่นให้กับทีมไปทั้งหมด 178 ครั้ง ปัจจุบัน ลัลลาน่าลงเล่นให้กับไบรท์ตัน ควบตำแหน่งผู้เล่นและผู้ช่วยโค้ชทีมชุดใหญ่ไปไหนตัว
ในขณะที่เอ็มเร่ ชาน เป็นกองกลางที่คล็อปป์พึ่งพาอยู่บ่อยครั้ง อาจจะด้วยเพราะความเป็นเพื่อนร่วมชาติ และลงเล่นให้กับลิเวอร์พูลไปถึง 166 เกม ก่อนที่ปัจจุบันจะได้รับเกียรติให้เป็นกัปตันทีมเก่าของคล็อปป์ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และกลับไปติดทีมชาติเยอรมนี มีโอกาสลงเล่นในศึกยูโร 2024 ซึ่งใครที่อยากติดตามก็สามารถพนันบอลยูโรได้ที่เว็บไซต์
m88 ทางเข้าตามลิ้งค์นี้เลย
กองหน้า
แนวรุกของลิเวอร์พูลในวันนั้นประกอบด้วยปีกตัวทำเกม ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ กองกลางสารพัดประโยชน์ เจมส์ มิลเนอร์ และกองหน้าตำนานตลอดกาล ดิว็อค โอริกี้
หลายคนในวันนั้นคงไม่อยากจะเชื่อว่า กองกลางหมายเลข 10 ของเราจะกลายมาเป็นผู้เล่นระดับโลก คูตินโญ่ติดทีมชาติบราซิลมากเกือบ 70 ครั้ง ลงเล่นให้กับทีมไป 201 ครั้งและยิง 54 ประตู ก่อนย้ายออกไปพร้อมทำเงินให้กับสโมสรได้มากถึง 142 ล้านปอนด์ ก่อนจะฟอร์มดิ่งสุดขั้วจนต้องย้ายไปเล่นในประเทศกาตาร์ภายใน 5 ปี
เช่นกัน หลายคนก็คงจะไม่อยากเชื่อว่า มิลเนอร์จะยังคงเล่นฟุตบอลอยู่ในวัย 38 ปี พร้อมกับได้กลับไปร่วมงานกับลัลลาน่าที่ไบรท์ตัน ในปัจจุบัน เขาลงเล่นในรายการพรีเมียร์ลีกไปแล้วถึง 634 เกม มากเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ ตามหลังสถิติของแกเร็ธ แบร์รีอยู่เพียง 19 เกมเท่านั้น
สุดท้าย คงจะไม่มีใครลืมตำนานของดิว็อค โอริกี้ ที่ลงเล่นให้กับทีมไปไม่มากนัก ทำประตูไปได้เพียง 41 ประตูจากระยะเวลา 7 ฤดูกาลกับทีม แต่ประตูที่เขาทำได้ทั้งในเกมที่เฉือนชนะเอฟเวอร์ตันในช่วงท้ายเกม 1-0 การเบิ้ลสองประตูในเกมที่ทีมพลิกกลับมาเอาชนะบาร์เซโลน่า 4-0 ก่อนจะปิดท้ายในแชมเปี้ยนส์ลีกรอบชิงชนะเลิศที่เขายิงปิดกล่องให้ทีมชนะสเปอร์ส 2-0
ผู้เล่นที่โดดเด่นภายใต้การคุมทีมของ คล็อปป์
เปิดตัวเลข 3 สถิติสำหรับผู้เล่นที่ลงเล่นมากที่สุด ยิงประตูได้เยอะที่สุด และทำแอสซิสต์ได้มากที่สุดภายใต้การคุมทีมของเจอร์เกน คล็อปป์ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา
ผู้เล่นที่ลงเล่นให้กับคล็อปป์มากที่สุด (นัด)
ตัวหนา = ยังอยู่กับทีม
1.โรเบอร์โต้ ฟีร์มีโน่ 355 นัด
2.โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ 333 นัด
3.เจมส์ มิลเนอร์ 323 นัด
4.จอร์แดน เฮนเดอร์สัน 304 นัด
5.เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ 302 นัด
6.แอนดี้ โรเบิร์ตสัน 282 นัด
7.ซาดิโอ มาเน่ 269 นัด
8.อลิสซง เบ็คเกอร์ 255 นัด
9.เวอร์จิล ฟาน ไดค์ 252 นัด
10.จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม 237 นัด
ผู้เล่นที่ลงเล่นให้กับคล็อปป์มากที่สุด (นาที)
1.โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ 27,103 นาที
2.โรเบอร์โต้ ฟีร์มีโน่ 24,874 นาที
3.เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ 24,448 นาที
4.แอนดี้ โรเบิร์ตสัน 23,880 นาที
5.อลิสซง เบ็คเกอร์ 22,916 นาที
6.เวอร์จิล ฟาน ไดค์ 22,452 นาที
7.จอร์แดน เฮนเดอร์สัน 21,965 นาที
8.ซาดิโอ มาเน่ 21,561 นาที
9.จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม 18,208 นาที
10.เจมส์ มิลเนอร์ 18,164 นาที
ผู้เล่นที่ยิงประตูภายใต้คล็อปป์เยอะที่สุด
1.โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ 205 ประตู
2.ซาดิโอ มาเน่ 120 ประตู
3.โรเบอร์โต้ ฟีร์มีโน่ 111 ประตู
4.ดิเอโก้ โจต้า 55 ประตู
5.ดิว็อค โอริกี้ 41 ประตู
6.ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ 37 ประตู
7.ดาร์วิน นูนเญซ 28 ประตู
8.เจมส์ มิลเนอร์ และ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ 25 ประตู
9.เวอร์จิล ฟาน ไดค์ 23 ประตู
10.จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม 22 ประตู
ผู้เล่นที่แอสซิสต์ภายใต้คล็อปป์มากที่สุด
1.โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ 83 แอสซิสต์
2.เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ 79 แอสซิสต์
3.โรเบอร์โต้ ฟีร์มีโน่ 72 แอสซิสต์
4.แอนดี้ โรเบิร์ตสัน 64 แอสซิสต์
5.เจมส์ มิลเนอร์ 43 แอสซิสต์
6.ซาดิโอ มาเน่ 38 แอสซิสต์
7.จอร์แดน เฮนเดอร์สัน 28 แอสซิสต์
8.ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ 22 แอสซิสต์
9.ดิเอโก้ โจต้า 19 แอสซิสต์
10.อดัม ลัลลาน่า และ คอสตาส ซิมิกาส 16 แอสซิสต์