ทีมงาน วีเออาร์ ในเกม พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดที่ ลิเวอร์พูล แพ้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 1-2 ไม่แจ้งหยุดเกมการแข่งขันหลังจากที่รู้ว่าทำหน้าที่ผิดพลาด เพราะมันเหมือนจะติดกฎของคณะกรรมการสมาคมฟุตบอลนานาชาติ (ไอเอฟเอบี)
ในนัดดังกล่าวมีจังหวะปัญหาเมื่อ หลุยส์ ดิอาซ ทำประตูให้กับ ลิเวอร์พูล ได้ แต่ทีมงาน วีเออาร์ มองว่ามันมีการล้ำหน้าเกิดขึ้นจนแจ้งไปยัง ไซม่อน ฮูเปอร์ ที่อยู่ในสนาม และสุดท้าย ฮูเปอร์ ก็ตัดสินว่ามันไม่เป็นประตู
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาทีมงาน วีเออาร์ มารู้สึกตัวว่าพวกเขาทำพลาดไปและที่จริงมันไม่มีการล้ำหน้าเกิดขึ้นเลย แต่เกมก็ยังเล่นกันต่อไป จนทำให้หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าทำไมหนนี้ทีมงาน วีเออาร์ ถึงไม่ยอมแจ้งให้หยุดการแข่งขันเพื่อที่จะเปลี่ยนให้ ลิเวอร์พูล ได้ประตู
สำหรับสาเหตุของเรื่องนั้นเหมือนจะเกี่ยวข้องกับกฎข้อ 10 ของ ไอเอฟเอบี ในหัวข้อเกี่ยวกับหลักการใช้ วีเออาร์ ที่ระบุว่า "ถ้าหากเกมมีการหยุดเล่นไปก่อนหน้านี้และกลับมาเตะกันใหม่แล้วนั้น กรรมการจะไม่สามารถ -ตรวจสอบ- จังหวะอื่นๆ ได้ นอกเหนือจากกรณีที่มีการระบุตัวคนที่ทำผิดแบบร้ายแรงจนถึงขั้นควรโดนไล่ออกผิดตัว โดยต้องเป็นความผิดที่เกี่ยวข้องกับการแสดงความประพฤติรุนแรง, ถ่มน้ำลาย, กัด หรือความผิดกรณีคล้ายกันที่รุนแรงมากๆ, การกระทำที่เป็นการดูถูกและ/หรือเป็นการเหยียดหยาม"
ทั้งนี้ มีคนจุดประเด็นว่าทำไมที แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงมาได้ลูกจุดโทษทั้งที่กรรมการเป่าจบการแข่งขันไปแล้ว จนทำให้พวกเขาชนะ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน 3-2 เมื่อช่วงปี 2020 โดยสาเหตุเป็นเพราะจังหวะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ควรจะได้ฟาวล์ในมุมมองของทีมงาน วีเออาร์ นั้น มันเกิดขึ้นก่อนหน้าที่ผู้ตัดสินจะเป่าจบการแข่งขัน
นั่นหมายความว่าตามกฎแล้วถือว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ฟาวล์ภายในระหว่างการแข่งขัน ทำให้ตอนนั้นบรรดานักเตะต้องกลับมาลงสนาม ก่อนที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส จะยิงเข้าไป โดยถ้าตอนนั้น บรูโน่ ยิงไม่เข้า เกมก็จะถือว่าจบไปเลย ซึ่งวันนั้น ฮูเปอร์ ทำหน้าที่อยู่ในห้อง วีเออาร์ ด้วย
สำหรับ ไอเอฟเอบี นั้น มีหน้าที่กำหนดกฎของเกมฟุตบอลทั่วโลก โดยสมาชิกของพวกเขาประกอบไปด้วยสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า), สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ), สมาคมฟุตบอลสกอตแลนด์, สมาคมฟุตบอลเวลส์ และสมาคมฟุตบอลไอร์แลนด์เหนือ