� � � � �เอมลีน ฮิวจ์ส กองกลางเจ้าของฉายา 'ไอ้ม้าบ้า' กัปตันทีมลิเวอร์พูลคนแรกที่ได้ชูถ้วยยูโรเปี้ยน คัพ และนำทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศถึง 4 สมัยภายใต้การคุมทีมของปรมาจารย์กุนซือหงส์แดงอย่าง บิล แชงคลีย์ และ บ็อบ เพสลีย์
� � � � �ฮิวจ์ส เริ่มต้นเล่นฟุตบอลอาชีพกับแบล็คพูลในปี 1964 และเป็นการเริ่มต้นเล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวในด้วย ก่อนที่จะขยับมาเล่นเป็นกองกลางฝั่งซ้ายในเวลาต่อมา
� � � � �ในปี 1967 ลิเวอร์พูลคว้าตัวเขามาร่วมทีมด้วยค่าตัว 25,000 ปอนด์ ซึ่งหากเทียบเท่ากับค่าเงินในปี 2021 แล้วค่าตัวเขาคือระดับหนึ่งล้านปอนด์ทีเดียว โดยตอนแรกนั้น แบล็คพูล ไม่ได้ต้องการขายเขา แต่ รอน สจ้วร์ต ผู้จัดการทีมเคยให้คำมั่นกับ บิล แชงคลีย์ เอาไว้ว่าหากนักเตะคนนี้สามารถย้ายทีมได้ เขาจะรีบโทรหา และเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนั้น สจ้วร์ตก็เลยรีบโทรหาแชงคลีย์ และ การย้ายทีมก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
� � � � �มีเรื่องเล่าว่าตอนที่ แชงคลีย์ ขับรถนั่งมาพร้อมฮิวจ์สเพื่อเดินทางไปลิเวอร์พูลนั้น ถูกตำรวจเรียกให้หยุด แชงคลีย์บอกกับตำรวจว่า 'คุณไม่รู้หรอกว่าใครอยู่กับผมในรถคันนี้? นี่กัปตันทีมชาติอังกฤษเชียวน่ะ!' ตำรวจคนนั้นมองผ่านกระจกเข้ามาและบอกว่า 'ผมจำไม่ได้' แชงคลีย์เลยบอกไปว่า 'คุณจะจำได้' เพราะหลังจากนั้น ฮิวจ์สที่ในเวลานั้นยังไม่ติดทีมชาติอังกฤษ ก็กลายเป็นกัปตันทีมชาติอังกฤษในเวลาต่อมาจริงๆ ดังที่ปู่บิลบอกเอาไว้
� � � � �ฮิวจ์สได้ประเดิมสนามให้ลิเวอร์พูลในเกมที่ชนะสโต้ค ซิตี้ 2-1 ที่แอนฟิลด์ในวันที่ 4 มีนาคม 1967 ก่อนที่ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน วันที่ 26 เขาจะมาทำประตูแรกในนามลิเวอร์พูลได้สำเร็จในเกมถล่มนิวคาสเซิ่ล 6-0
� � � � �ฮิวจ์สกลายเป็นนักเตะที่มีเอกลักษณ์ของตัวเองในการเล่นกับ ลิเวอร์พูล อย่างรวดเร็ว ฉายา 'ไอ้ม้าป่า' ของเขาได้รับมาจากการที่เขาพุ่งเข้าแท็กเกิล อัลเบิร์ต เบ็นเน็ตต์ ปีกของนิวคาสเซิ่ลแบบรักบี้
� � � � �อย่างไรก็ตาม 4 ฤดูกาลแรกที่ฮิวจ์สอยู่ในถิ่นแอนฟิลด์นั้น ลิเวอร์พูลไม่ได้มีแชมป์ใดๆ มาประดับบารมีเขาเลย แต่ฮิวจ์สก็ถือว่าเป็นนักเตะที่แชงคลีย์มองเอาไว้สำหรับอนาคตอย่างแท้จริง ความเก่งกาจและสารพัดประโยชน์ของเขาก็ถูกสังเกตเห็นเช่นกัน ในฐานะแบ็คซ้าย และ เซนเตอร์ฮาล์ฟ ทำให้สุดท้ายในปี 1969 เซอร์ อัลฟ์ แรมซีย์ กุนซือทีมชาติอังกฤษก็เรียกตัวเขาสู่ทำเนียบทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่
� � � � �แรมซีย์ ให้ ฮิวจ์ส ประเดิมสนามในทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ในเดือนพฤศจิกายนปีนั้น ในตำแหน่งแบ็คซ้ายในเกมเจอกับ เนเธอร์แลนด์ ที่สนามโอลิมปิก สเตเดี้ยม - อัมสเตอร์ดัม ซึ่งผลออกมาอังกฤษเป็นฝ่ายชนะ 1-0 จากนั้นเกมต่อไปเขาก็ได้โอกาสลงเล่นอีกในบทบาทเดิมคือแบ็คซ้าย โดยประตูเดียวในนามทีมชาติของฮิวจ์สเกิดขึ้นในเกมที่อังกฤษชนะเวลส์ 3-0 ในศึกบริติช โฮม แชมเปี้ยนชิพ เมื่อปี 1972
� � � � �ในปี 1970 ถือเป็นปีที่มีความสำคัญมากในการค้าแข้งของฮิวจ์ส เมื่อลิเวอร์พูลโดนทีมระดับดิวิชั่น 2 อย่างวัตฟอร์ดเขี่ยตกรอบก่อนรองชนะเลิศในเอฟเอ คัพ ทำให้ แชงคลีย์จัดการถ่ายเลือดทีมของเขาใหม่เลย โดยโละนักเตะที่อายุมากหลายคนที่มีส่วนในการนำทีมคว้าแชมป์ลีก 2 สมัย, เอฟเอ คัพ และการเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยน คัพ ก่อนหน้าออกจากทีม และเริ่มดึงนักเตะอายุน้อยๆ มาเพื่อสร้างทีมใหม่อย่างจริงจัง และฮิวจ์สในวัยยังไม่ถึง 23 ดีก็ได้โอกาสก้าวขึ้นมาเป็นแกนหลักของทีมอย่างเต็มตัว เช่นเดียวกับ เอียน คัลลาแกน และ ทอมมี่ สมิธ โดยมีนักเตะใหม่ที่แชงคลีย์ดึงเข้ามาเสริม ซึ่งทั้งหมดกลายเป็นหัวใจหลักของความสำเร็จที่ทีมหงส์แดงทำได้ในเวลาต่อมา
� � � � �ในขณะเดียวกัน ทีมชาติอังกฤษกำลังจะบินไปป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลกที่พวกเขาคว้ามาได้เมื่อ 4 ปีก่อนที่เม็กซิโก (อังกฤษ แชมป์โลกปี 1966) ฮิวจ์ส ซึ่งติดทีมชาติไปแล้ว 6 นัด มีชื่ออยู่ใน 27 คนชุดแรกที่แรมซีย์เรียกมารวมทีม เพื่อลงเตะอุ่นเครื่องกับ โคลอมเบีย กับ เอกวาดอร์ แต่น่าเซอร์ไพรส์มากเมื่อ ฮิวจ์ส ที่ไม่ได้เล่นทั้งสองนัดเลย สุดท้ายเขากลับมีชื่ออยู่ใน 22 นักเตะที่แรมซีย์พาไปฟุตบอลโลกที่เม็กซิโกด้วย แถมยังเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดในทีมชาติชุดนั้น และเป็นนักเตะจากลิเวอร์พูลคนเดียวด้วย
� � � � �อย่างไรก็ตาม ฮิวจ์ส และ น็อบบี้ สไตล์ส กลับเป็น 2 นักเตะที่ไม่ใช่ผู้รักษาประตูที่ไม่มีโอกาสลงเล่นในทัวนาเม้นท์นั้นเลย ก่อนที่อังกฤษจะแพ้เยอรมันตะวันตกในรอบก่อนรองชนะเลิศ พร้อมกับมีการตั้งคำถามจากบรรดาสื่อถึงการเปลี่ยนตัวในเกมดังกล่าวที่ไม่ยอมเอา ฮิวจ์ส ลงเล่นทั้งๆ ที่พร้อมที่สุดในสถานการณ์ของการแก้เกม บทสรุปกับฟุตบอลโลกหนนี้ทำให้ ฮิวจ์สไม่เคยมีโอกาสลงเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเลย
� � � � �ในฤดูกาล 197071 ลิเวอร์พูลเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ โดยแพ้� 21 ในช่วงต่อเวลาพิเศษต่ออาร์เซนอล ซึ่งเป็นฝ่ายคว้าดับเบิ้ลแชมป์ลีกและเอฟเอ คัพได้สำเร็จในฤดูกาลนั้น ทำเอา ฮิวจ์ส ผิดหวังอย่างรุนแรงมากกับการเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในเกมนัดชิงชนะเลิศ�
� � � � ทอมมี่ สมิธ ตำนานสโมสรที่เป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมทีมลิเวอร์พูลได้กล่าวในอัตชีวประวัติของตัวเองที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2008 ว่า 'ในวันที่ 8 พฤษภาคม 1972 ฮิวจ์สบอกว่าเขาได้คุยกับนักเตะอาร์เซน่อลหลายคนที่เต็มใจจะทุ่มเงิน 50 ปอนด์ต่อคนเพื่อให้ลิเวอร์พูลล้มเหลวในเกมที่ไฮบิวรี่� ซึ่งนั่นหมายถึงการที่ดาร์บี้ เคาน์ตี้จะคว้าแชมป์ลีกไปครอง และเกมนั้นจบลงด้วยผลเสมอ 0-0 และเป็นดาร์บี้ที่คว้าแชมป์ไปครองด้วยคะแนน 58 คะแนน โดยมีคะแนนเหนือลีดส์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้ ที่ต่างก็มี 57 คะแนนเท่ากัน
� � � � จากเหตุการณ์นั้น สมิธระบุว่าเขารู้สึก 'ขยะแขยง' กับสิ่งที่ฮิวจ์สเล่า และก็ไม่เคยคิดคบค้ากับเขานอกสนามอีกเลย โดยสมิธยืนยันว่าพยานคนเดียวที่ได้ฟังเรื่องนี้เช่นกันคือ คัลลาแกน แต่สมิธคิดว่า ฮิวจ์ส แค่พยายามทำให้ตัวเองสำคัญเท่านั้นเอง แต่คงไม่ได้มีนอกในอะไรกับนักเตะอาร์เซน่อลจริงๆ� โดยสมิธไม่เคยเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ แชงคลีย์ ฟัง เพราะมันคงทำให้หัวใจของยอดกุนซือแตกสลายแน่หากได้ยินเรื่องราวนี้
� � � � ฮิวจ์ส กลับมามีชื่อกับทีมชาติอังกฤษอีกครั้งในศึกยูโร 1972 ซึ่งก็ยังเป็นแรมซีย์คุมทีมอยู่ โดยเขาลงเล่นในเกมรอบรองชนะเลิศเจอกับเยอรมันอีกครั้ง และผลงานแข่งขันก็เป็นเยอรมันตอกย้ำความแค้นอีกรอบเมื่อเขี่ยอังกฤษตกรอบเช่นเดียวกับในฟุตบอลโลกก่อนหน้า
� � � � ในปี 1973 ฮิวจ์ส สามารถคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกกับลิเวอร์พูลได้สำเร็จ และในฤดูกาลเดียวกันยังเอาชนะโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัดคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ ซึ่งเป็นแชมป์ยุโรปครั้งแรกของตนได้ด้วย�
� � � � ฮิวจ์ส ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมของลิเวอร์พูลคนใหม่ หลังจากที่ ทอมมี่ สมิธ มีปัญหาขัดแย้งกับ แชงคลีย์ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ความสัมพันธ์นอกสนามของทั้งคู่ยิ่งแย่ลงไป หลังจากมีความตึงเครียดระหว่างทั้งคู่มาก่อนหน้าแล้วจากเหตุการณ์เรื่องสินบนเมื่อ 18 เดือนก่อน ยังดีที่เรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลต่อการเล่นของทั้งคู่ให้ลิเวอร์พูลในสนาม
� � � � �ในเดือนตุลาคม 1973 แรมซีย์เลือก ฮิวจ์ส เป็นแบ็คซ้ายตัวจริงอีกครั้งในเกมเปิดเวมบลีย์เจอกับโปแลนด์ อังกฤษต้องชนะสถานเดียวเท่านั้นถึงจะได้ไปฟุตบอลโลกในปี 1974� ไม่งั้นจะเป็นโปแลนด์ได้เข้ารอบสุดท้ายแทน ซึ่งเกมนั้นจบลงด้วยการเสมอกัน 1-1 อังกฤษจบแค่รอบคัดเลือก
� � � � ในฤดูกาลถัดมา 1973-74 ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะนิวคาสเซิ่ล 3-0 และในเดือนเดียวกันนั้นเอง ฮิวจ์ส ได้รับการแต่งตั้งจาก โจ เมอร์เซอร์ ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษชั่วคราวให้เป็นกัปตันทีมชาติอังกฤษคนใหม่ โดยเกมประเดิมสนามในฐานะกัปตันคือเกมที่ชนะเวลส์ 2-0 ที่คาร์ดิฟฟ์เมื่อ 11 พฤษภาคม 1974
� � � � ฮิวจ์ส รับบทบาทกัปตันทีมทั้งหมด 7 เกมในช่วงที่ เมอร์เซอร์ ยังทำหน้าที่อยู่ พอมาถึง ดอน เรวี่ ที่มารับงานคุมชาติอังกฤษต่อจากแรมซีย์เต็มตัว ช่วงแรกก็ยังไว้ใจ ฮิวจ์ส แต่พอในทีมผ่านรอบคัดเลือกไปเล่นในศึกยูโร 1976 แล้ว เรวี่ ตัดสินใจปลด ฮิวจ์ส จากตำแหน่งกัปตันทีม และมอบปลอกแขนให้ อลัน บอลล์ ซึ่งเป็นอดีตเพื่อนร่วมทีมฮิวจ์สสมัยแบล็คพูลทำหน้าที่แทน และบทบาทในทีมชาติของฮิวจ์สเองก็ถูกลดทอนลง จนกระทั่งหลุดไปจากทีม
� � � � ด้านลิเวอร์พูล ก็มี บ็อบ เพสลีย์ ก้าวขึ้นมาทำหน้าที่แทน แชงคลีย์ ที่ตัดสินใจเกษียณ ฮิวจ์ส จึงมุ่งความสนใจไปที่การรับใช้สโมสรอย่างเต็มที่แทน แต่ในฤดูกาลแรกของ เพสลีย์ นั้น ลิเวอร์พูลไม่ได้แชมป์ใดๆ ก่อนจะมาได้ดับเบิลแชมป์ ด้วยการคว้าแชมป์ลีก และ ยูฟ่า คัพ พร้อมกันในปี 1976
� � � � ฤดูกาล 197677 เริ่มต้นฤดูกาลแบบมีเซอร์ไพรส์ เมื่อ ฮิวจ์สถูก เรวี่ เรียกกลับมารับใช้ทีมชาติอังกฤษอีกครั้ง ในเกมรอบคัดเลือกรอบที่สองสำหรับการไปเล่นฟุตบอลโลก 1978 ภายใต้กัปตันทีมชาติซึ่งเพื่อนร่วมทีมลิเวอร์พูลอย่าง เควิน คีแกน โดยในเวลานั้น ฮิวจ์ส สร้างชื่อในฐานะเซนเตอร์ฮาล์ฟที่โดดเด่นขึ้นมาแล้ว แต่เกมนี้อังกฤษก็พ่ายแพ้ต่ออิตาลี 0-2 ไม่ได้ไปเล่นรอบสุดท้าย ซึ่งถือเป็นจุดตกต่ำที่สุดในการคุมทีมของเรวี่ด้วย
� � � � อย่างไรก็ตาม ฮิวจ์ส ถูก เรวี่ เรียกใช้งานในเกมต่อๆ ไปตั้งแต่ต้นปี 1977 โดยในเวลานั้นเอง ลิเวอร์พูลก็แข็งแกร่งมาก เมื่อจบฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์ลีก ซึ่งเป็นแชมป์สมัยที่ 3 ของฮิวจ์สกับทีมหงส์แดง รวมถึงการผงาดคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ซึ่งเป็นถ้วยใบใหญ่ที่สุดของยุโรปสมัยแรกให้สโมสรด้วย โดยฮิวจ์สเป็นกัปตันทีมในเกมที่ชนะโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัด ที่กรุงโรม 3-1�
� � � � ปีนั้น ฮิวจ์ส ได้รับการโหวตให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักข่าวฟุตบอลอีกด้วย
� � � � เรวี่ ตัดสินใจคืนตำแหน่งกัปตันทีมชาติอังกฤษให้ฮิวจ์สอีกครั้งในเกมที่ทีมชาติอังกฤษ เจอกับ สกอตแลนด์ หลัง คีแกน ไม่พร้อมลงเล่น ก่อนจะเลือกเขาติดอยู่ในทีมชุดที่ออกทัวร์อเมริกาใต้ในช่วงซัมเมอร์ด้วย และเมื่อฤดูกาลเปิดฉากขึ้น รอน กรีนวู้ด ได้เข้ามาทำหน้าที่ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษคนใหม่แทน เรวี่ เขาได้มอบตำแหน่งกัปตันทีมให้ ฮิวจ์ส ถาวร�
� � � ��
� � � � ฮิวจ์ส รับใช้ทีมชาติอังกฤษครบ 50 นัดพอดีในเกมที่ชนะอิตาลีในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกปลายปี 1977
� � � � ในปี 1978 ฮิวจ์ส อยู่ในทีมลิเวอร์พูลที่แพ้นัดชิงชนะเลิศ ลีกคัพ กับ นอตติงแฮม ฟอเรสต์ ที่คุมทีมโดยไบรอัน คลัฟ ส่วนแชมป์ลีกก็ตกเป็นของ ฟอเรสต์ เช่นกัน แต่ลิเวอร์พูล มาป้องกันแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ได้ ซึ่งเป็นการได้แชมป์สมัยที่ 2 ด้วยการชนะเอฟซี บรู้กส์ จากเบลเยี่ยม 10 ที่เวมบลีย์ ทำให้ฮิวจ์สได้ชูถ้วยบิ๊กเอียร์นี้เป็นปีที่สองติดต่อกัน ถึงเวลานี้ตำแหน่งของฮิวจ์สเริ่มถูกถูกคุกคามจากอลัน แฮนเซ่น กองหลังดาวรุ่งพรสวรรค์ชาวสก็อตแลนด์ ที่ย้ายมาจากพาร์ทิค ธิสเซิลเมื่อฤดูกาลที่แล้วด้วยค่าตัว 100,000 ปอนด์
� � � � ฤดูกาลถัดมา ฮิวจ์สในวัย 31 ได้ลงเล่นเพียง 16 นัดเท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอสำหรับการได้เหรียญแชมป์ลีกมาครองเป็นสมัยที่ 4 ซึ่งถือเป็นรางวัลสุดท้ายที่เขาได้กับลิเวอร์พูล โดยในเกมเอฟเอ คัพ ในฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ ต่อ แมนฯ ยูไนเต็ดในรอบรองชนะเลิศ โดยฮิวจ์สนั้นหลุดจากตำแหน่งจนทำให้ทีมเสียประตู แต่จากวันนั้น เขาไม่เคยมีโอกาสกลับมาลงเล่นให้ลิเวอร์พูลอีกเลย�
� � � � ฮิวจ์สถูกขายให้กับวูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์สในราคา 90,000 ปอนด์ในเดือนสิงหาคม 1979 ฝากสถิติลงเล่นให้ลิเวอร์พูลเอาไว้มากถึง 665 นัด ทำประตูได้ 49 ประตูให้กับสโมสร ติดชาติอังกฤษ 59 นัดระหว่างที่เล่นในถิ่นแอนฟิลด์ ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่ติดทีมชาติมากที่สุดของสโมสร จนกระทั่ง เอียน รัช ตำนานดาวยิงชาวเวลส์มาทำลายสถิติในอีกสิบกว่าปีต่อมา
� � � � ฤดูกาลแรกที่ ฮิวจ์ส ย้ายไปที่วูล์ฟ เขาได้แชมป์ลีก คัพ กับทีมใหม่ทันที ซึ่งนั่นคือถ้วยเดียวที่เขาไม่เคยคว้าได้ในสมัยอยู่กับลิเวอร์พูลด้วย จากนั้นฮิวจ์สก็ได้รับตำแหน่งกัปตันทีมวูล์ฟถาวร
� � � � ฮิวจ์ส ยังถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษอยู่ แม้จะไม่ได้อยู่กับลิเวอร์พูลแล้วก็ตาม แต่ในทีมชาติเขาไม่ใช่ตัวหลัก แม้จะได้ลงเล่นบ้าง โดยฮิวจ์สได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติอังกฤษนัดสุดท้ายในเกมเสมอกับไอร์แลนด์เหนือ 1-1 ที่เวมบลีย์ในปี ก่อนจะได้เล่นทีมชาติเป็นนัดสุดท้ายนัดที่ 62 ในการเจอกับทีมชาติสกอตแลนด์ เมื่อ 24 พฤษภาคม 1980
� � � � � แม้กรีนวู้ดจะใส่ชื่อเขาอยู่ในทีมชาติอังกฤษ ชุดลุยยูโร 80 ที่อิตาลีเป็นเจ้าภาพ เพราะประสบการณ์ที่มากล้น แต่เขาก็ไม่ได้มีโอกาสลงเล่นเลย ถึงกระนั้นก็ยังทำให้เขากลายเป็นนักเตะทีมชาติอังกฤษที่ผ่านการติดทีมชาติมาถึง 3 ทศวรรษอยู่ดี เป็นคนที่ 5 ต่อจาก เจสซี เพนนิงตัน, สแตนลีย์ แมทธิวส์, บ็อบบี ชาร์ลตัน และปีเตอร์ ชิลตัน�
� � � � � การที่ฮิวจ์ส ติดทีมชาติมาตั้งแต่ปี 1970 ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ติดทีมชาติอังกฤษมากที่สุดในทศวรรษด้วย
� � � � � ฮิวจ์ส ในวัย 34 ย้ายจากวูล์ฟมาอยู่กับ ร็อตเธอร์แฮม ยูไนเต็ดในฐานะผู้เล่น-ผู้จัดการทีม แต่คุมได้ทีม 2 ฤดูกาลก็ถูกปลดออกหลัง ร็อตเธอร์แฮม ชนะเพียงนัดเดียวและตกชั้น
� � � � � หลังจากนั้นฮิวจ์สก็ไปเล่นให้ ฮัลล์ ซิตี้ สั้นๆ ต่อมาได้เป็นผู้อำนวยการที่แมนฟิลด์ ทาวน์ แต่ไม่ได้มีผลงานอะไรที่เด่นชัด และในปีเดียวกันนั้น ฮิวจ์ส ก็กลับมาเล่นฟุตบอลอีกกับสวอนซี ซิตี้ ซึ่งกลายเป็นสโมสรสุดท้ายของเขาในการค้าแข้งอาชีพด้วย โดยฮิวจ์สแขวนสตั้ดในวัย 37 ปี
� � � � � หลังเลิกเล่นฟุตบอล ฮิวจ์ส ไม่ได้กลับไปทำงานคุมทีมหรือบริหารสโมสรใดแล้ว เขาเข้าสู่วงการทีวี ด้วยการทำงานกับ บีบีซี ในรายการตอบคำถามชื่อดัง�
� � � � � ฮิวจ์สยังทำงานด้านวิเคราะห์เกมให้กับรายการวิทยุของบีบีซี และเป็นทีมกูรูในฟุตบอลโลกปี 1986 ที่ดิเอโก้ มาราโดน่า แจ้งเกิดด้วยหัตถ์พระเจ้าด้วย
� � � � �ในปี 2003 มีการประกาศว่า ฮิวจ์ส ป่วยด้วยโรคเนื้องอกในสมอง ซึ่งเขาเข้ารับการผ่าตัด ฉายแสง และเคมีบำบัด�
� � � � การปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนครั้งสุดท้ายคือการออกงานในปี 2004 โดยฮิวจ์สเสียชีวิตอย่างสงบที่บ้านของเขาในเชฟฟิลด์ในวัย� 57 ปี
� � � � โดย 8 วันหลังการจากไปของ ฮิวจ์ส นักเตะทีมชาติอังกฤษพร้อมใจกันสวมปลอกแขนไว้อาลัยให้แก่เขาด้วยในเกมที่เจอกับทีมชาติสเปน�
� � � � มีการสร้างรูปปั้นเพื่อสดุดี ฮิวจ์ส เอาไว้ที่บ้านเกิดของเขาที่ บาร์โรว์-อิน-เฟอร์เนสส์ในปี 2008 โดยถูกวางไว้หน้าอาคารสำนักงานแห่งใหม่ที่ถูกตั้งชื่อว่า เอมลีน ฮิวจ์ส เฮ้าส์ ตามชื่อของเขาด้วย รวมถึงรูปปั้นที่เขากระโดดขี่หลัง บ็อบ เพสลีย์ ก็ถูกนำมาตั้งที่หน้าสนามแอนฟิลด์ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา
� � � � และในปี 2008 ฮิวจ์สก็ได้รับเกียรติให้ถูกบรรจุชื่อเข้าสู่หอเกียรติยศ ของพิพิธภัณฑ์ฟุตบอลด้วย
� � � � � เกียรติประวัติกับลิเวอร์พูล
� � � � � แชมป์ดิวิชั่น 1 : 197273, 197576, 197677, 197879
� � � � � แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ : 197677, 197778
� � � � � แชมป์ยูฟ่า คัพ : 197273, 197576
� � � � � แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ� : 1977
� � � � � แชมป์เอฟเอ คัพ : 1973-74
� � � � � แชมป์แชริตี้ ชีลด์ : 1974, 1976, 1977
� � � � เกียรติประวัติส่วนตัวกับรางวัลที่เคยได้รับ
� � � � � นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีสมาคมนักเขียน : 1977
� � � � � เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้น OBE : 1980
� � � � � สถิติการลงสนามกับลิเวอร์พูล : 665 นัด ทำ 49 ประตู�
� � � � � สโมสรอื่นที่เคยสังกัด : แบล็คพูล, วูล์ฟแฮมป์ตัน, ร็อตเตอร์แฮม ยูไนเต็ด, ฮัลล์ ซิตี้, แมนฟิลด์ ทาวน์, สวอนซี
� � � � � สถิติการเล่นให้ทีมชาติ : อังกฤษ 62 นัด ทำ 1 ประตู