� � � �มาร์คุส บับเบิ้ล กองหลังชาวเยอรมันผู้พกดีกรีแชมป์มากมายทั้งระดับสโมสรและทีมชาติ ก่อนย้ายมาคว้าทริปเปิล แชมป์ ฟุตบอลถ้วยในปี 2000 กับทีม 'หงส์แดง'
� � � �บับเบิ้ลนั้นเป็นเด็กฝึกของบาเยิร์น มิวนิคแท้ๆ ที่ก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 1991 แต่ทว่าด้วยโอกาสที่ยังจำกัดอยู่นั้น ทำให้เขาตัดสินใจย้ายไปเล่นกับ ฮัมบูร์กในปีต่อมา และสุดท้ายด้วยฟอร์มการเล่นที่คงเส้นคงวายอดเยี่ยม บาเยิร์นก็ตัดสินใจซื้อเขากลับไปร่วมทีมอีกครั้งในปี 1994 และที่นั่น บับเบิ้ล กลายเป็นตัวหลักของทีมเสือใต้และพาทีมกวาดแชมป์มากมาย โดยเริ่มจากยูฟ่า คัพ ในฤดูกาล 1995-96 แชมป์บุนเดสลีกา 3 สมัย ฤดูกาล 1996-97, 1998-99 และ 1999-2000 รวมถึง เดเอฟเบ โพคาล 2 สมัยในปีฤดูกาล 1997-98 และ 1999-2000�
� � � �นอกจากนี้บับเบิ้ลยังอยู่ในทีมชาติเยอรมันชุดที่มาคว้าแชมป์ยูโร 96 ที่อังกฤษเป็นเจ้าภาพด้วย
� � � �ตอนที่หมดสัญญากับบาเยิร์น มิวนิค ในปี 2000 นั้น มีสโมสรมากมายที่อยากได้ตัวบับเบิ้ลไปร่วมทีม โดยแมนฯ ยูไนเต็ด ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่กำลังครองความยิ่งใหญ่ในอังกฤษเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เช่นเดียวกับ เรอัล มาดริด แต่ก็ต้องเซอร์ไพรส์กันทั้งบาง เมื่อกลายเป็น ลิเวอร์พูล ได้ตัวเขามาร่วมทีมแบบไม่มีค่าตัว
� � � �บับเบิ้ลเข้ามาผนึกกำลังในแนวรับของลิเวอร์พูลทันที โดย อุลลิเย่ร์ ให้บับเบิ้ลประจำการในตำแหน่งแบ็คขวา เพราะลิเวอร์พูลมีคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟที่แข็งแกร่งอยู่แล้วอย่าง ซามี่ ฮูเปีย และ สเตฟาน อองโชซ์ ซึ่งตำแหน่งนี้ไม่ใช่ปัญหาของกองหลังเยอรมันรายนี้เลย เพราะเขามักทำหน้าที่นี้บ่อยๆ ในการเล่นให้กับบาเยิร์น มิวนิค รวมถึงทีมชาติเยอรมันก่อนหน้านี้
� � � �ฤดูกาลแรกของบับเบิ้ลกับลิเวอร์พูลไปได้สวยมาก เพราะเขาได้ลงเล่นไปถึง 60 จาก 63 นัดในทุกรายการ และมีส่วนสำคัญมากในการนำ ลิเวอร์พูล คว้าทริปเปิล แชมป์ บอลถ้วย ทั้ง ยูฟ่า คัพ, เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ โดยหนึ่งในประตูสำคัญที่เขาทำให้ลิเวอร์พูลได้คือยิงได้ในเกมนัดชิงยูฟ่า คัพ กับ อลาเบส นั่นเอง
� � � �ชีวิตในถิ่นแอนฟิลด์ของบับเบิ้ลทำท่าว่าจะไปได้สวยทีเดียว แฟนๆ ลิเวอร์พูลเองต่างอุ่นใจไปกับตำแหน่งแบ็คขวาที่เหนียวแน่นของทีมรายนี้
� � � �ต้นฤดูกาลต่อมา บับเบิ้ลยังกวาดแชมป์ร่วมกับลิเวอร์พูลต่อกับการคว้าแชมป์คอมมูนิตี้ ชีลด์ ตามด้วย ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ� แต่จู่ๆ ก็เหมือนฟ้าผ่ากลางแอนฟิลด์ เมื่อ บับเบิ้ลที่ถูกเปลี่ยนตัวในช่วงพักครึ่งในเกมกับ เวสต์แฮม ถูกระบุว่าป่วยเป็นโรคกิลเลียน บาเร่ ซินโดรม หรือ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเฉียบพลัน และนั่นทำให้เขาไม่สามารถเล่นฟุตบอลได้ เรียกว่ายังทำไม่ได้เลยแม้กระทั่งเดินเหินตามปกติ�
� � � � บับเบิ้ลต้องพึ่งพาวีลแชร์ในช่วงที่เขาต้องพักรักษาโรคดังกล่าว จนกระทั่ง 15 เดือนต่อมา จึงจะหายเป็นปกติ
� � � � บับเบิ้ลพยายามเรียกความแข็งแกร่งและความฟิตจนกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง และในเดือนพฤศจิกายนต่อเนื่องถึงต้นเดือนธันวาคม 2002 บับเบิ้ลได้โอกาสลงเล่นเป็นตัวจริง 4 จาก 5 เกมทีเดียว แต่ฟอร์มการเล่นยังสอบไม่ผ่าน�
� � � �ความแข็งแกร่งของกองหลังเยอรมันรายนี้ไม่ได้คืนกลับมาดังเดิม และในเกมลีกคัพที่เจอกับ แอสตัน วิลล่า ในวันที่ 18 ธันวาคม 2002 ก็กลายเป็นเกมสุดท้ายของเขากับลิเวอร์พูลด้วย เมื่อเจ้าตัวถูกเปลี่ยนออกในนาทีที่ 39 ของการแข่งขัน โดย อุลลิเย่ร์ ส่ง เจมี่ คาร์ราเกอร์ ลงสนามแทน ทำเอา บับเบิ้ลหัวเสียมากถึงกับปาเสื้อทิ้งเลยทีเดียวตอนเดินออก ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่เคยปรากฏเลย เพราะดาวเตะรายนี้คงความเป็นมืออาชีพมาตลอด
� � � �จากนั้น อุลลิเย่ร์ ตัดสินใจส่ง บับเบิ้ลไปเรียกความแข็งแกร่งในเกมสำรอง แต่เจ้าตัวก็ลงไปเล่นแบบไม่เหลือสมาธิอีกแล้ว บับเบิ้ลโดนไล่ออกจากสนามถึงสองครั้งในเกมที่เจอกับ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ และ เอฟเวอร์ตัน ในเดือนพฤษภาคมปี 2023
� � � �และหลังจบฤดูกาลนั้น อุลลิเย่ร์ ก็ประเมินแล้วว่า บับเบิ้ล คงไม่สามารถเรียกความฟิตกลับคืนสู่ระดับที่ควรเป็นได้ เขาตัดสินใจส่ง บับเบิ้ล ไปให้แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ที่มีแกรม ซูเนสส์ คุมทัพอยู่ยืมตัว เพื่อหวังจะใช้ที่นั่นในการเรียกความฟิตและความมั่นใจเดิมๆ ของบับเบิ้ลกลับมา
� � � �บับเบิ้ลเล่นไปถึง 25 นัดให้แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส และหลังยืมตัวในซัมเมอร์ 2004 ในวัย 32 เขาตัดสินใจขอย้ายออกจากลิเวอร์พูลเพื่อกลับไปเล่นในเยอรมันบ้านเกิดกับ สตุ้ทการ์ท เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่ายังสามารถเล่นในเกมระดับสูงได้
� � � �และสิ่งที่บับเบิ้ลคิดก็ไม่ผิด ในวัย 35 หรือในฤดูกาล 2006-07 บับเบิ้ลสามารถพาสตุ้ทการ์ทเถลิวแชมป์บุนเดสลีกาได้สำเร็จ เป็นการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของเยอรมันสมัยที่ 4 ของเจ้าตัวด้วย และพอหลังจบฤดูกาลนั้น บับเบิ้ล ตัดสินใจแขวนสตั้ด และเข้ารับตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการทีมที่สตุ้ทการ์ทนี่เอง
� � � �ในฤดูกาล 2008-09 บับเบิ้ลได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมสตุ้ทการ์ทอย่างเต็มตัว สามารถพาทีมจบฤดูกาลด้วยอันดับ 3 ด้วย แต่น่าเสียดายที่ในฤดูกาลถัดมาเขาก็โดนปลด หลังพาทีมไปจมอยู่ก้นตารางหลังผ่านไปแค่ 15 นัดในฟุตบอลลีก เช่นเดียวกับการคุม แฮร์ธา เบอร์ลิน ทีมต่อมาที่เขาพาทีมเลื่อนชั้นจากลีกา 2 มาได้ แต่ก็ถูกปลดจากตำแหน่งในเวลาต่อมา รวมถึง ฮอฟเฟ่นไฮม์ด้วย โดยบับเบิ้ลคุมทีมในเยอรมันแค่เฉลี่ยนทีมล่ะ 2 ฤดูกาลเท่านั้น
� � � �เมื่อในเยอรมันเส้นทางไม่ราบรื่น บับเบิ้ลเปลี่ยนไปรับงานคุมทีมในต่างแดนบ้าง โดยเขาไปคุมเอฟซี ลูเซิร์น ในสวิสเซอรแลนด์ 3 ฤดูกาล ทำอันดับได้ระดับหัวแถวของลีกด้วยแต่ยังไม่ถือว่าประสบความสำเร็จ ก่อนที่ในเดือนพฤษภาคมปี 2018 บับเบิ้ลจะได้รับการแต่งตั้งให้คุม เวสเทิร์น ซิดนีย์ วันเดอเรอร์ส เอฟซี ในลีก ออสเตรเลีย แต่ผลงานก็ย่ำแย่ เมื่อพาทีมจบอันดับ 8 จาก 10 ทีม ด้วยสถิติที่ชนะไปแค่ 6 นัด เสมอ 6 และแพ้ไปถึง 15 นัด แม้ฤดูกาลต่อมาจะได้คุมทีมต่อ แต่สุดท้ายผลงานก็ยังแย่ต่อเนื่อง บับเบิ้ลก็ถูกปลดจากตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2020
� � � � � เกียรติประวัติกับลิเวอร์พูล
� � � � � แชมป์ยูฟ่า คัพ : 200001
� � � � � แชมป์เอฟเอ คัพ : 200001
� � � � � แชมป์ลีก คัพ : 200001
� � � � � แชมป์คอมมูนิตี้ ชีลด์ : 2001
� � � � � แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ : 2001
� � � � � สถิติการลงสนามกับลิเวอร์พูล : 73 นัด ทำ 6 ประตู 5 แอสซิสต์
� � � � � สโมสรอื่นที่เคยสังกัด : บาเยิร์น มิวนิค, ฮัมบูร์ก, แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส (ยืมตัว), สตุ้ทการ์ท
� � � � � สถิติการเล่นให้ทีมชาติ : อังกฤษ 8 นัด 0 ประตู