� � � � � แจน โมลบี้ กองกลางหุ่นถังเบียร์สายคลาสสิกที่เปี่ยมไปด้วยทักษะความสามารถทั้ง การจ่ายบอล และการยิงประตู และมีส่วนสำคัญในการทำทีมหงส์แดงคว้าแชมป์ลีกสูงสุดถึง 3 สมัย
� � � � โมลบี้เริ่มต้นค้าแข้งกับโคลดิ้ง สโมสรในลีกบ้านเกิด โดยก้าวมาเป็นกัปตันทีมในวัยแค่ 18 ด้วย ก่อนมีโอกาสย้ายมาค้าแข้งกับอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม สโมสรดังในลีกดัตช์ ซึ่งเขาคว้าดับเบิ้ลแชมป์บอลลีกและบอลถ้วยด้วยได้ในปีแรกที่ย้ายมาร่วมทีมเลย
� � � � ในตอนที่ แกรม ซูเนสส์ อำลาลิเวอร์พูลไปอยู่กับซามพ์โดเรียในอิตาลี โจ ฟาแกน ได้เชิญโมลบี้มาทดสอบฝีเท้าที่แอนฟิลด์เป็นเวลา 10 วัน โดยจับลงเล่นในเกมอุ่นเครื่องพบกับโฮม ฟาร์ม สโมสรจากไอร์แลนด์ ซึ่งโมลบี้ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถด้วยการพักบอลลงด้วยอก ก่อนเดาะบอลด้วยเข่าข้ามหัวกองหลัง จากนั้นก็วอลเลย์จังหวะเดียวเสียบตาข่าย ซึ่งประตูนี้ทำให้ในอีก 2 วันต่อมา ฟาแกน เซ็นสัญญาโมลบี้เข้าสู่ทีมทันที
� � � � �3 วันหลังเซ็นสัญญา โมลบี้ได้ลงสนามให้ลิเวอร์พลเป็นเกมแรกในเกมลีกที่เสมอกับ นอริช ซิตี้ 3-3 ส่วนประตูแรกของโมลบี้กับลิเวอร์พูลเกิดขึ้นในวันที่ 1 ธันวาคม 1984 เป็นการยิงเชลซี
� � � � ในฤดูกาลแรก โมลบี้ ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรับคอยทดแทน เควิน แม็คโดนัลด์ ซึ่งทีมหงส์แดงในเวลานั้นมีผลงานโดยรวมไม่สู้ดีนัก ทำให้ฤดูกาลนั้นพวกเขาไม่ได้แชมป์ใดๆ มาครองเลย เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1975 ด้วยที่จบฤดูกาลแบบมือเปล่า
� � � � ฤดูกาลต่อมา เคนนี่ ดัลกลิช มาคุมลิเวอร์พูลในฐานะผู้เล่น-ผู้จัดการทีม ซึ่งถือเป็นฤดูกาลแจ้งเกิดของแข้งชาวเดนมาร์กรายนี้อย่างเต็มตัว เพราะดัลกลิชนั้นชื่นชอบการเล่นของโมลบี้มาก ถึงกับให้สัมภาษณ์ว่าเขาอดใจไม่ไหวที่จะให้ดาวเตะรายนี้ลงสนามจริงจัง
� � � � �ฤดูกาลนั้นโมลบี้ได้ออกสตาร์ทก่อนในบทบาทสวีปเปอร์ซึ่งเป็นแนวรับตัวสุดท้ายที่คอยเก็บกวาดหลังคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟ ก่อนจะขยับขึ้นมาเล่นในแดนกลาง จนกระทั่งมาเจอตำแหน่งที่ทำให้เขาฉายแววโดดเด่นที่สุดนั่นคือกองกลางตัวรุกที่มี สตีฟ แม็คมาน คอยทำหน้าที่เกมรับให้ โดยโมลบี้จบฤดูกาลนั้นด้วยการทำไปถึง 19 ประตูในทุกรายการให้ลิเวอร์พูลพร้อมกับพาทีมคว้าดับเบิลแชมป์ได้สำเร็จด้วย
� � � �โมลบี้ถือเป็นกำลังหลักของลิเวอร์พูลตลอดมานับจากตรงนั้น แม้ในฤดูกาลต่อมาทีมหงส์แดงจะพลาดแชมป์ลีกก็ตาม แต่ผลงานส่วนตัวของเขาก็ยังยอดเยี่ยมและได้รับคำชมอย่างมาก
� � � �ในฤดูกาล 1987-88 โมลบี้เจออาการบาดเจ็บที่เท้าเล่นงาน ตำแหน่งในฤดูกาลนั้นของเขาถูกแทนที่ด้วย รอนนี่ วีแลน� แม้หายเจ็บกลับมา ตำแหน่งในทีมลิเวอร์พูลของ โมลบี้ ก็ไม่ได้ถูกการันตีเหมือนเดิม เพราะลิเวอร์พูลกำลังทำผลงานได้ดีกับคู่กลางใหม่อย่าง วีแลน-แม็คมาน
� � � �ในเดือนตุลาคม ปี 1988 โมลบี้โดนศาลตัดสินให้จำคุก 3 เดือนในข้อหาขับรถโดยประมาทจากเหตุการณ์ในช่วงต้นปี ซึ่งทางลิเวอร์พูลเองก็ออกมายืนหยัดเพื่อเขา โดยไม่ยกเลิกสัญญาและพร้อมให้โอกาสกับเจ้าตัวอีกครั้งเมื่อพ้นโทษออกมา
� � � � โมลบี้กลับมาลงสนามให้ลิเวอร์พูลได้อีกครั้งในเดือนมกราคมปี 1989 แต่เจ้าตัวก็มาเจออาการบาดเจ็บเล่นงานอีกในเดือนมีนาคม ทำให้ต้องปิดฉากฤดูกาลนั้นไปก่อนเพื่อน
� � � � ในฤดูกาลต่อมา ซึ่งเป็นฤดูกาลที่ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 18 โมลบี้ก็ยังไม่สามารถสอดแทรกกลับมาเป็นตัวจริงในทีมได้ โดยได้โอกาสลงเล่นในเกมลีกไปแค่ 12 จาก 38 นัดเท่านั้น ซึ่งการลงเล่นก็เป็นการลงเล่นแทน วีแลน ที่ได้รับบาดเจ็บ
� � � � �ในปี 1990 โยฮัน ครัฟฟ์ เกือบได้ โมลบี้ ไปเล่นให้ที่บาร์เซโลน่าแล้ว เมื่อทั้งสองสโมสรตกลงค่าตัวกันได้ที่ 1.6 ล้านปอนด์ ถึงขนาดโมลบี้เซ็นสัญญาสี่ปีไปแล้ว แต่สุดท้ายการเจรจากลับล่มแบบเซอร์ไพรส์ทั้งบาง ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นี้กว่า โมลบี้ จะลาลิเวอร์พูลอีกทีก็ต้องใช้เวลาอีกถึง 5 ปีทีเดียว
� � � � �ฤดูกาล 1990-91 โมลบี้กลับมายึตแหน่งตัวจริงในทีมลิเวอร์พูลได้อีกครั้ง พร้อมกับการก้าวมาเป็นเพชรฆาตสังหารจุดโทษขาประจำของทีมด้วย น่าเสียดายที่ฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูล ไม่สามารถคว้าแชมป์ได้ และ เคนนี่ ดัลกลิช ก็ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม
� � � � ผู้จัดการทีมเปลี่ยนมาเป็น แกรม ซูเนสส์ เขากลับมาใช้คู่กลางเดิมอย่าง วีแลน-แม็คมาน อีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม วีแลน มีอาการบาดเจ็บรบกวนตลอดทั้งฤดูกาล โมลบี้เลยกลับมาได้โอกาสยาวๆ แทน โดยพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ในฤดูกาลนั้นด้วย
� � � � โมลบี้โชคร้ายที่เจอกับอาการบาดเจ็บเล่นงานอีก รวมถึงน้ำหนักตัวของเขาที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ ซูเนสส์ มองว่าเขาไม่มีความฟิตเพียงพอ และนำไปสู่การพลาดลงสนามเป็นเวลานาน ซึ่งฤดูกาล 1994-95 ถือเป็นฤดูกาลสุดท้ายที่โมลบี้ได้ลงเล่นให้ลิเวอร์พูลด้วย
� � � � ในฤดูกาล 1995-96 รอย อีแวนส์ ที่เริ่มสร้างขุมกำลังสายเลือดใหม่ให้ลิเวอร์พูลอย่างจริงจัง ได้ปล่อย โมลบี้ ในวัยที่เกิน 30 ให้กับบาร์นสลีย์ และ นอริช ซิตี้ ยืมใช้งาน และในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1996 โมลบี้ตัดสินใจอำลาลิเวอร์พูลเพื่อไปรับบทบาทผู้เล่น-ผู้จัดการทีมให้สวอนซี ซึ่งทำให้เขากลายเป็นผู้จัดการทีมที่อายุน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีกในวัยแค่ 32 เท่านั้น
� � � � โมลบี้คุมสวอนซีได้แค่ปีเดียวก็โดนปลดจากตำแหน่ง จากนั้นก็ไปคุม คิดเดอร์มินสเตอร์ ในลีกรอง, ฮัลล์ ซินตี้ และ กลับมาที่ คิดเดอร์มินสเตอร์� และจากปี 2004 เป็นต้นมา โมลบี้ ก็ไม่เคยหวนกลับไปทำงานคุมทีมอีกเลย โดยรับงานเป็นกูรูบ้างเป็นครั้งคราว
� � � � สถิติที่น่าสนใจของโมลบี้ในการค้าแข้งกับ ลิเวอร์พูล นั้นเขาทำไป 42 ประตูทีเดียวจากการสังหารจุดโทษ มีแค่ 3 ครั้งเท่านั้นที่เขายิงพลาด ซึ่งสถิตินี้ถือเป็นสถิติของสโมสรลิเวอร์พูลยาวมาจนกระทั่ง สตีเว่น เจอร์ราร์ด มาทำลายลงในปี 2014
� � � �โมลบี้ติดทีมชาติเดนมาร์กไป 33 นัด และเคยผ่านสังเวียนยูโร 1984 รวมถึงฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในปี 1986 มาด้วย
� � � � เกียรติประวัติกับลิเวอร์พูล
� � � � �แชมป์ดิวิชั่น 1 : 198586, 198788, 198990
� � � � �แชมป์เอฟเอ คัพ : 198586, 199192
� � � � �แชมป์แชริตี้ ชีลด์ : 1986, 1988, 1989
� � �เกียรติประวัติส่วนตัวกับรางวัลที่เคยได้รับ
� � � � ทีมยอดเยี่ยมชองพีเอฟเอ : 1996-97 (ดิวิชั่น 3)
� � � สถิติการลงสนามกับลิเวอร์พูล : 292 นัด ทำ 61 ประตู 42 แอสซิสต์
� � � � สโมสรอื่นที่เคยสังกัด : โคลดิ้ง, อาแจ็กซ์, บาร์นสลีย์ (ยืมตัว), นอริช ซิตี้ (ยืมตัว), สวอนซี ซิตี้
� � � � สถิติการเล่นให้ทีมชาติ : เดนมาร์ก 33 นัด ทำ 2 ประตู