� � � � แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์ ถูก เชราร์ อุลลิเย่ร์ เซ็นสัญญามาอยู่กับลิเวอร์พูลแบบไม่มีค่าตัว หลังหมดสัญญากับโคเวนทรี ซิตี้ ท่ามกลางความเซอร์ไพรส์ใหญ่จากแฟนๆ และผู้เกี่ยวข้องกับสโมสร เพราะในตอนนั้น 'บิ๊กแม็ค' นั้นอายุอานามปาไปถึง 35 ปีแล้ว อย่างไรก็ตาม ตลอด 2 ปีที่ แม็คอัลลิสเตอร์ อยู่กับสโมสร เขามีส่วนสำคัญที่ทำให้ทีม 'หงส์แดง' คว้าแชมป์ได้ไม่ต่ำกว่า 5 ถ้วยเลยทีเดียว
� � � � � ในแง่ประสบการณ์แม็คอัลลิสเตอร์นั้นถือว่ามีอย่างล้นเหลือ เพราะเคยผ่านการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษมาแล้วกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด เมื่อฤดูกาล 1991-92 นอกจากนี้เขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเล่นลูกตั้งเตะ และ เป็นตัวยิงจุดโทษที่ฉมังมากด้วย
� � � � � 'บิ๊กแม็ค' คือฉายาที่แฟนๆ และสื่อมวลชนใช้เรียก แม็คอัลลิสเตอร์ โดยเจ้าตัวได้ประเดิมสนามให้ลิเวอร์พูลนัดแรก เป็นเกมที่แอนฟิลด์ที่ ลิเวอร์พูลพบกับ แบรดฟอร์ด ซิตี้ ในพรีเมียร์ลีก ส่วนประตูแรกของแม็คอัลลิสเตอร์ในสีเสื้อลิเวอร์พูลเกิดขึ้นในวันที่ 12 พฤศจิกายน ปี 2000 ในเกมที่เจอกับ โคเวนทรี ซิตี้ ทีมเก่า
� � � � � ประตูที่สำคัญที่ได้รับการจดจำของแม็คอัลลิสเตอร์ที่ยิงให้ลิเวอร์พูล ยังรวมถึงประตูที่เขายิงจุดโทษให้ทีมชนะบาร์เซโลน่า ในเกมรอบรองชนะเลิศ ศึกยูฟ่า คัพ ฤดูกาล 2000-01, ฟรีคิกในนาทีสุดท้ายจากระยะ 44 หลาที่ช่วยให้ลิเวอร์พูลเอาชนะเอฟเวอร์ตันในเกมเมอร์ซีไซด์ ดาร์บี้ แมทช์ ที่กูดิสัน ปาร์ค รวมถึงประตูที่ยิงให้ทีมชนะอลาเบส คว้าแชมป์ยูฟ่า คัพในปี 2001 ด้วย
� � � � � ในเกมนัดชิงยูฟ่า คัพ ปี 2001 ดังกล่าว แม็คอัลลิสเตอร์ที่อายุขยับไปเป็น 36 แล้วยังได้รับเลือกให้เป็นแมน ออฟ เดอะ แมทช์ ในนัดขิงชนะเลิศ หลังมีส่วนร่วม 4 จาก 5 ประตูที่ทีมหงส์แดงทำได้ในเกมดังกล่าว ทำให้ อลัน แฮนเซ่น ตำนานของลิเวอร์พูลอีกรายถึงกับยกให้เป็น "นักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดในสนามที่อายุมากที่สุดด้วย"�
� � � � � 4 วันหลังนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า คัพ แม็คอัลลิสเตอร์ ได้ลงเล่นในเกมเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศต่อ และก็มีส่วนในการพาลิเวอร์พูลพลิกกลับมาแซงชนะอาร์เซน่อล 2-1 คว้าแชมป์โดยที่ตามหลังก่อนด้วย โดยหนึ่งประตูที่ลิเวอร์พูลได้ก็มาจากฟรีคิกของดาวเตะชาวสกอตแลนด์รายนี้เอง
� � � � � �ในช่วงก่อนเริ่มต้นฤดูกาล 2001-02 ที่สนามมิลเลนเนียม แม็คอัลลิสเตอร์ ก็เป็นผู้ยิงจุดโทษให้ลิเวอร์พูลเอาชนะแมนฯ ยูไนเต็ด 2-1 คว้าแชมป์แชริตี้ ชีลด์ (ชื่อเดิมของคอมมูนิตี้ ชีลด์) และในฤดูกาลนั้น แม็คอัลลิสเตอร์ ก็ลงสนามให้ลิเวอร์พูลครบ 50 นัด ในเกมยุโรปที่พบกับ เอฟซี ฮากา ของฟินแลนด์ โดยลงมาเป็นตัวสำรอง
� � � � � แม็คอัลลิสเตอร์ อำลาลิเวอร์พูลไปในช่วงจบฤดูกาล 2001-02 โดยกลับไปร่วมงานกับโคเวนทรี ซิตี้ อีกครั้ง ในฐานะผู้เล่น-ผู้จัดการทีม
� � � � � แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ แม็คอัลลิสเตอร์อยู่กับลิเวอร์พูล แต่เขาก็ถือว่ามีส่วนสำคัญมากกับความสำเร็จของทีมหงส์แดงในช่วงเวลานั้น ถึงขนาดที่ อุลลิเย่ร์ คนเซ็นสัญญายกย่องให้ บิ๊กแม็ค เป็นการเซ็นสัญญาที่สร้างแรงบัลดาลใจที่สุดในฐานะโค้ชของเขาที่ลิเวอร์พูลเลย
� � � � �ภายหลังแขวนสตั้ดแล้ว แม็คอัลลิสเตอร์ ยังอยู่ในวงการฟุตบอลต่อ ด้วยการเป็นผู้จัดการทีม ลีดส์ ยูไนเต็ด หนึ่งในสโมสรเก่าของเขา จากนั้นก็ไปเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมที่แอสตัน วิลล่า และก้าวขึ้นมาเป็นกุนซือรักษาการณ์ช่วงนึง ก่อนจะไปเป็นผู้ช่วยของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด อดีตเพื่อนร่วมทีมลิเวอร์พูลที่เรนเจอร์สในสกอตแลนด์ และตามกันมาที่แอสตัน วิลล่า ในตอนที่ เจอร์ราร์ด ย้ายมาคุมทีมสิงห์ผยองในพรีเมียร์ลีก จนกระทั่ง เจอร์ราร์ด ถูกปลดจากตำแหน่ง แม็คอัลลิสเตอร์ก็อำลาตำแหน่งไปพร้อมกันด้วย
� � � � � เกียรติประวัติกับลิเวอร์พูล
� � � � � เอฟเอ คัพ : 2000-01
� � � � � ลีก คัพ : 2000-01
� � � � � แชริตี้ ชีลด์ : 2001
� � � � � ยูฟ่า คัพ : 2000-01
� � � � � ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ : 2001
� � � � � เกียรติประวัติส่วนตัวกับรางวัลที่เคยได้รับ
� � � � � ทีมยอดเยี่ยมชองพีเอฟเอ : 1988–89 ดิวิชั่นสอง ,1989–90 ดิวิชั่นสอง, 1991–92 ดิวิชั่นหนึ่ง, 1993–94 พรีเมียร์ลีก
� � � � � นักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีก : เมษายน 2001
� � � � � นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสร : โคเวนทรี 1999–2000
� � � � � เข้าสู่หอเกียรติยศของสกอตแลนด์ : 2016
� � � � � สถิติการลงสนามกับลิเวอร์พูล : 87 นัด ทำ 9 ประตู 11 แอสซิสต์
� � � � � สโมสรอื่นที่เคยสังกัด : มาเธอร์เวล, เลสเตอร์ ซิตี้, ลีดส์ ยูไนเต็ด, โคเวนทรี ซิตี้
� � � � � สถิติการเล่นให้ทีมชาติ : สกอตแลนด์ 57 นัด ทำ 5 ประตู