��������� แกรม ซูเนสส์ กูรูฟุตบอลปากตะไกรร่ายยาวผ่านคอลัมน์ของตัวเองใน เดลี่ เมล เผยว่าถ้าจะกาชื่อ ลิเวอร์พูล ทิ้งจากการลุ้นแชมป์คงจะเป็นเรื่องไร้เดียงสา พร้อมเชื่อว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ จะไม่รู้สึกกดดันในการต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พร้อมกับให้รอดูว่าใครจะเจอวิกฤติในช่วงท้ายฤดูกาล
��������� ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ทได้อย่างย่ำแย่ เมื่อยังตามหาชัยชนะไม่เจอเมื่อผ่านไป 3 เกมแรกของศึก พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2022/23 โดยมีเพีย 2 คะแนนจากการเสมอ 2 แพ้ 1 จนทำให้หลายฝ่ายมองว่ารองแชมป์เก่าเมื่อซีซั่นก่อนอาจเจออุปสรรคต่อการลุ้นแชมป์ลีก
��������� อย่างไรก็ตาม แกรม ซูเนสส์ อดีตแข้ง หงส์แดง ซึ่งปัจจุบันทำหน้าที่เป็นกูรูฟุตบอล ยังเชื่อมั่นในทีมเก่า และย้ำว่าให้รอดูกันว่าใครกันแน่ที่จะเจอวิกฤติเมื่อถึงตอนเดือนพฤษภาคม
��������� ผมไม่เคยลืมเลยกับการพาดหัวข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ หลังจาก ลิเวอร์พูล แพ้ต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-3 ที่ แอนฟิลด์ ตอนวันบ็อกซิ่งเดย์ ปี 1981 ซึ่งมันทำให้เราอยู่อันดับที่ 12 ดิวิชั่น 1
��������� -จักรวรรดิกำลังล่มสลาย- นั่นคือคำพาดหัว แล้วเราเดินหน้าไปคว้าแชมป์ลีก
��������� ดังนั้น ตอนที่ผมได้ยินที่ว่า ลิเวอร์พูล ชุดนี้ผ่านจุดสูงสุดของพวกเขาไปแล้ว ผมถึงกับหัวเราะออกมา คุณคงจะบ้าระห่ำมากที่จะบอกว่าพวกเขาจำเป็นต้องสร้างทีมใหม่
��������� สปอร์ตเมล พาดหัวว่า -ใครกันที่เจอวิกฤติตอนนี้- หลังจากพวกเขาแพ้ต่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-2 เมื่อวันจันทร์ โอเค ผมเข้าใจนะ มันมีความต้องการที่จะเพ่งเป้าไปที่ทีมใหญ่ในยามที่พวกเขาผลงานไม่ดี
��������� แต่การตอบสนองจากบางคนมันดูไร้เดียงสา ให้ตายเถอะมันเพิ่งแค่ 3 เกมเอง ผมยอมรับนี่ไม่ใช่ ลิเวอร์พูล ที่เหมือนในช่วง 5 ฤดูกาลที่ผ่านมา แต่เชื่อผมนะ พวกเขาจะกลับมาฟอร์มดีได้อีก
��������� พวกเขาเคยถูกกาชื่อทิ้งเมื่อฤดูกาลก่อนตอนเดือนมีนาคม แต่กลับจบซีซั่นด้วยการพลาดแชมป์แต้มเดียว พวกเขาจำเป็นยึดมั่นในสิ่งที่ทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จ
��������� ผมขอย้อนไปตอนปี 1981 เราถูกบอกว่าเราจบแล้ว และผู้คนก็รุมจวกเรา แล้วเราก็ปรับปรุงนิดหน่อยในส่วนของแต่ละคน แต่เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรในเรื่องของวิธีการเล่น เพราะมันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้แล้ว ซึ่งผู้บริหารปลูกฝังใส่เราอยู่มาตลอด
��������� เจอร์เก้น คล็อปป์ และทีม ลิเวอร์พูล ของเขาก็เป็นแบบเดียวกัน บรรดาผู้เล่นโกรธตัวเอง และจะต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกคนเหล่านั้นคิดผิดเหมือนกับที่เราเคยเป็น แต่พวกเขาจะไม่ถูกกดดันให้เปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น
��������� เรื่องนั้นน่ะ ผมหมายถึงพวกคนฉลาดที่พูดถึงการเล่นแบบเกมรับดันสูง (ไฮไลน์ ดีเฟนซ์) ว่าเป็นจุดอ่อน เราได้ยินเสียงพล่ามเหล่านั้นเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ตอนที่เราเจอความลำบากตอนเดือนธันวาคม รวมถึงปีก่อนหน้านั้นที่เราแพ้ที่ แอสตัน วิลล่า 2-7
��������� แล้วก็ใช่ เราเจอแบบนั้นตอนประตูของ มาร์คัส แรชฟอร์ด เมื่อวันจันทร์ ที่โดนเจาะตรงแผงแบ็คโฟร์ และจบลงด้วยการสถานการณ์ 1-1 กับผู้รักษาประตู แต่เราเล่นแบบนั้นเหมือนเดิม หากคุณอยากจะเป็นทีมระดับท็อป มันเป็นทางเดียวที่ต้องเล่นแบบนั้น
��������� ตลอด 9 เดือนที่ลงเล่นทั้งฤดูกาล ข้อได้เปรียบในการดันมาถึงครึ่งสนาม มันมีมากกว่าข้อเสียเปรียบ 3 ส่วนของทีมของคุณจะต้องมีการสื่อสารซึ่งกันและกัน เกมรับของคุณของดันขึ้นสูง
��������� ปัญหาที่พวกเขาเจอในตอนนี้ คือผมไม่คิดว่านักเตะฟิตทุกคน
��������� มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้เมื่อฤดูกาลผ่านไป มันมักจะใช้เวลาสองสามสัปดาห์ที่จะให้พวกผู้เล่นไปเจอระดับของพวกเขา และหากคุณเล่นในแบบที่ ลิเวอร์พูล เล่นแล้วล่ะก็ เมื่อมีคนแค่คนเดียวให้กดดันใส่คู่แข่ง ระบบที่ทำมาก็ล้มเหลว สำหรับผม ไม่ใช่ผู้เล่นทุกคนที่ตามสปีดทัน ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่มันพังลง
��������� แต่ในเวลานี้ของฤดูกาล มันมีขึ้นมีลง มันจะมีผลการแข่งขันแบบแปลก ๆ ออกมาเหมือนตอนท้ายฤดูกาล
��������� หลังจากคว้าชัยเหนือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ มาได้เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ทุกคนยังพูดกันว่า ลิเวอร์พูล เก่งแค่ไหน
��������� แล้วย้อนไปหลายสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ตอนที่พวกเขาแพ้ต่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กรุงเทพ ยังถูกด่าว่าห่วยแตก ซึ่งตอนนี้มันก็เหมือนกัน
��������� อย่างในเกมเมื่อวันจันทร์ ทุกคนบอกว่า ยูไนเต็ด สุดยอด พวกเขาเล่นได้ดีมากเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง แต่คุณไม่สามารถสุดยอดได้หากคุณครองบอลแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ ลิเวอร์พูล กลับมาสู่ตัวของตัวเองได้ และใกล้เคียงจะได้แต้ม พวกเขาไม่ได้แพ้ราบคาบตามที่บางสื่อออกมาบอก
��������� แม้แต่บรรดาผู้เล่นที่เก่งที่สุดในประเทศนี้ ยังตกเป็นเป้าวิจารณ์ ซึ่งมันดูรุนแรงเกินไป
��������� ยกตัวอย่าง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ นี่เราจะกาชื่อเขาทิ้งไปแล้วจริง ๆ เหรอ ?? บ้าน่า ฟาน ไดค์ เหมือนกับหลาย ๆ คนที่อายุเข้าหลัก 30 ปี มันถูกใช้เป็นเหตุผลว่าพวกเขาอยู่ในช่วงขาลง ไร้สาระมาก
��������� ผมเคยเล่นอยู่ในช่วงที่ดีที่สุดของอาชีพนักฟุตบอลตอนอายุ 30-31 ซึ่งเป็นปีก่อนที่ผมจะย้ายออกจาก ลิเวอร์พูล ไป ซามพ์โดเรีย และมันเกิดขึ้นในยุค 80s นะ พวกเขาเหล่านี้มีระดับที่แตกต่างกันเมื่อดูในเรื่องความฟิต และสมรรถภาพ
��������� นอกจากนี้ ยังมีการบอกว่า -กระทบกระทั่ง- กับอีแค่เพระ เจมส์ มิลเนอร์ เรียก ฟาน ไดค์ มาคุยตอน ยูไนเต็ด พังประตูแรก
��������� ซึ่งมันสมควรเป็นแบบนั้นแล้ว ไม่ต้องรอจนถึงพักครึ่งเพื่อให้ผู้จัดการทีมมาพูดอะไรบางอย่าง ผมชอบแบบนี้นะที่ผู้เล่นไม่ให้อภัยตัวเองในสิ่งที่ตัวเองรับผิดชอบได้ ผมเคยทำงานกับ มิลเนอร์ ตอนอยู่ นิวคาสเซิ่ล ผมรู้ว่าคาแรกเตอร์เขาเป็นคนอย่างไร เขาถูกสั่งให้เป็นคนคอยกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมอยู่แล้ว ผมเคยผ่านเรื่องนี้มาก่อน มันเป็นเรื่องในเชิงบวก
��������� แล้วยังมีการบอกว่า ลิเวอร์พูล ไม่ใช่ทีมเดิมเมื่อไร้ ซาดิโอ มาเน่ แน่นอนล่ะทุกทีมในโลกจะต้องคิดถึง ซาดิโอ มาเน่!
��������� คุณเข้าใจประเด็นผมนะ มันดูว่าเป็นฤดูกาลที่เปิดกว้างที่จะโจมตี ลิเวอร์พูล เมื่อผ่านไป 3 เกม
��������� แต่มันดูเร็วไปที่จะมาสะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาจะไปอยู่ตรงจุดไหน แล้วเรามารอดูกันว่าใครที่จะเจอวิกฤติเมื่อถึงเดือนพฤษภาคม