����������� จากผลการแข่งขันในรอบที่ผ่านมา แม้ว่าลิเวอร์พูลจะทำให้แฟนบอลลุกขึ้นเฮกันมาอย่างหนักในฤดูกาลก่อน ที่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้สำเร็จ นี่ยังไม่รวมถึง 2 ซีซั่นก่อนที่ได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกมาครอง แต่สถานการณ์ปัจจุบันศึกพรีเมียร์ลึก กลับมีผลงานที่ย่ำแย่ลง แพ้คาบ้าน 6 นัดติดต่อกัน โดยลิเวอร์พูลรั้งท้ายตำแหน่งอยู่ในอันดับ 7 และมีคะแนนห่างท็อปโฟร์อยู่ถึง 3 คะแนน และเหลือเกมให้ลงเล่นอีกเพียง 8 นัด เท่านั้น ล่าสุดการแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบควอเตอร์ไฟนอลเลกแรก ได้พ่ายแพ้ให้กับ เรอัล มาดริด ไป 3-1
����������� จากสถิติการแพ้หลายนัดในรอบนี้ ทำให้ทุกคนคาดเดาสถานการณ์ของลิเวอร์พูลได้ว่าเกือบเข้าขั้นวิกฤษแล้ว เพราะโอกาสที่จะเข้าไปเล่นในศึก UCL นั้น จะต้องเก็บชัยชนะทุกเกมให้ได้ ซึ่งยังเป็นเรื่องที่ต้องลุ้นกันต่อไปว่าลิเวอร์พูลจะสามารถพลิกเกมเพื่อสร้างตำนานอีกครั้งได้หรือไม่
����������� ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก (UCL) สำคัญอย่างไรกับทีมลิเวอร์พูล
����������� ถ้าจะให้พูดถึงโควตาของยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ถือว่าจะเป็นโควตาอันดับต้น ๆ ในลึกยุโรป เหมือนเป็นสิ่งการันตีและสามารถจัดลำดับให้ทีมฟุตบอลนั้นขึ้นไปในระดับสูงได้ อีกทั้งในเรื่องของผลประโยชน์ ถ้วยรางวัลที่ใหญ่กว่า ลิขสิทธิ์ การถ่ายทอดผลการแข่งขัน และเงินรางวัลจะมีให้สูงมาก จึงเป็นเป้าหมายของนักเตะและทีม ที่จะต้องแข่งเพื่อเอาชนะแล้วมีโอกาสเข้าไปวัดแข้งกันร่วมกับทีมอื่น
����������� ข่าวลือ ว่าที่กุนซือใหม่ของทีมลิเวอร์พูล
����������� หลังจากที่ทีมลิเวอร์พูลเจอกับสถานการณ์ย่ำแย่ที่ทำผลงานพ่ายแพ้ติดต่อกันหลายนัดที่ผ่านมา ก็เริ่มมีข่าวซุบซิบในวงการฟุตบอลว่า เป็นเพราะการบริหารทีมของ เยอร์เกน คลอปป์ ที่ไม่มีประสิทธิภาพอีกต่อไป และดูมีแนวโน้มว่า คลอปป์ น่าจะกลับคืนถิ่นแอนฟิลด์ และ สตีเวน เจอร์ราร์ด ในวัย 40 ปี อดีตกับตันทีมลิเวอร์พูล ที่ได้ย้ายไปคุมทีม กลาสโรว์ เรนเจอร์ส ให้กลับมาคว้าแชมป์ลีกของสกอตแลนด์ เอาชนะคู่ปรับตลอดกาลอย่าง กลาสโกว์ เซลติก เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ได้ และสร้างผลงานไร้พ่าย 32 นัด เก็บชัยชนะได้ถึง 28 ครั้ง เสมอ 4 เกม จะกลับมารับตำแหน่งกุนซือให้กับทีมลิเวอร์พูลแทน
����������� แต่มันก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น เพราะ สตีเวน เจอร์ราร์ด เอง ก็ออกมาแก้ข่าวอย่างถ่อมตัวว่า ทางทีมลิเวอร์พูลเองก็คงไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น ยังต้องการ เยอร์เกน คลอปป์ ทำงานนี้มากกว่า และเขาเองก็สนับสนุนความคิดนี้ด้วย และหวังว่า คลอปป์ จะอยู่ฝ่าฟันกับลิเวอร์พูลไปอีกนานหลายปี เพราะเขาก็เคารพในตัว เยอร์เกน คลอปป์ เองเช่นกัน เจอร์ราร์ดก็ยังพูดทิ้งท้ายอีกว่าภาระงานที่ กลาส์โกว เรนเจอร์ส ก็ยังมีอะไรต้องเรียนรู้และคอยพัฒนาอีกต่อไป และยังเหลือสัญญากับเรนเจอร์สอีก 3 ปี ส่วนทางด้าน คลอปป์ ก็ออกมาปฏิเสธด้วยเหมือนกันว่า ไม่ได้เตรียมตัวที่จะกลับบ้านเกิดเพื่อไปคุมทีมชาติเยอรมนี ต่อจาก โยอาคิม เลิฟ ที่แว่วว่าจะอำลาตำแหน่งหลังจบเกมยูโร 2020 ตามที่เป็นข่าวเลย และเขาก็เหลือสัญญากับแอนฟิลด์ยาวไปจนถึงเดือนมิถุนายน ปี 2024
����������� จากข่าวลือนี้ก็ทำให้ เจมี คาร์ราเกอร์ ผู้กุมตำนานกองหลังของลิเวอร์พูล ก็ได้ออกมาวิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นว่า ตัวเขาเองก็รู้สึกยินดีและดีใจ หาก เจอร์ราร์ด จะก้าวมาสู่ตำแหน่งกุนซือของลิเวอร์พูลในอนาคต เพราะจากผลงานของเจอร์ราร์ดที่สร้างไว้กับเรนเจอร์สนั้นช่างยอดเยี่ยม และดูน่าเชื่อถือ แต่คิดว่า เจอร์ราร์ดเองคงยังไม่พร้อมในตอนนี้ ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ เจอร์ราร์ด จะต้องพิสูจน์ตัวเอง คือ เขาต้องประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพว่าการคว้าแชมป์ของเรนเจอร์ส นั้นไม่ได้มาเพราะโชคช่วยหรือฟลุ๊ค เพราะการเป็นผู้จัดการทีม นั่นหมายความว่าจะต้องแบกภาระอันยิ่งใหญ่ และเป็นความหวังของทีม และตัว เจอร์ราร์ด ก็ยังเพิ่งรับตำแหน่งนี้มาไม่นาน คงต้องให้เวลากับเขาเพื่อสั่งสมประสบการณ์เพิ่มขึ้น เมื่อถึงเวลาที่พร้อม วันนั้นก็มาถึงเอง
����������� เปรียบเทียบผลงานฟาดแข้งระหว่าง คาบัค และ โกนาเต้
����������� ทั้งสองคนนี้เป็นตัวเก็งที่มีกระแสกับทีมลิเวอร์พูล ในสื่อของเยอรมันกล่าวว่า โอซาน คาบัค เป็นกองหลังตุรกี ที่ลิเวอร์พูลยืมตัวมาจาก ซาลเก้ 04 ตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ส่วนทางสื่ออังกฤษก็รายงานมาว่า ลิเวอร์พูลต้องการคว้าตัว อิบราฮิม่า�� โกนาเต้ ให้ได้ในศึกซีซั่นหน้า และผลงานของทั้งสองนักเตะมีดีต่างกันอย่างไร
����������� คาบัคเข้าสกัดบอลได้ดีกว่า โดยมีค่าเฉลี่ยเข้าสกัดบอลสำเร็จ 78.6% ส่วน โกนาเต้ มีค่าเฉลี่ยเข้าสกัดบอลสำเร็จ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ 47.3%
����������� ลูกดวลกลางอากาศ คาบัคก็ยังทำได้ดีกว่าเช่นกัน เฉลี่ย 3.8 ครั้งต่อเกม ขณะที่ โกนาเต้ มีค่าเฉลี่ยเพียง 1.3 ครั้งต่อเกม
����������� การทำประตู คาบัคยังไม่สามารถทำประตูได้ แต่ โกนาเต้ ทำประตูไปได้แล้ว 1 ประตู
����������� คาบัคผ่านบอลเข้าเป้าอยู่ที่ 89.2% ส่วน โกนาเต้ ผ่านบอลเข้าเป้าไป 83.5%
����������� การเคลียร์บอล สำหรับ โกนาเต้ จะทำได้ดีกว่า คาบัค โดยที่เคลียร์บอลสำเร็จเฉลี่ยแล้ว 3.7 ครั้งต่อเกม ส่วน คาบัค เฉลี่ยอยู่ที่ 3.6 ครั้งต่อเกม
����������� การทำฟาวล์ คาบัด เฉลี่ยอยู่ที่ 1.2 ครั้งต่อเกม และ โกนาเต้ 1.3 ครั้งต่อเกม
����������� การตัดบอล คาบัค เฉลี่ยอยู่ที่ 1.6 ครั้งต่อเกม ส่วน โกนาเต้ เฉลี่ย 1.3 ครั้งต่อเกม
����������� ส่วนในเรื่องของอายุทั้งสองนักเตะมีอายุเท่ากันคือ 21 ปี ซึ่งยังจะมีโอกาสพัฒนาฝีมือและเวลาค้าแข้งไปอีกยาว
����������� ถ้าจะให้สรุปจริง ๆ แล้ว ทั้งสองนักเตะเองก็มีฝีมือดีทั้งคู่ และยังมีโอกาสในการสร้างผลงานอีกมากมายในอนาคต ซึ่งก็เป็นเรื่องที่คาดเดากันต่อไปว่าทั้งสองคนแล้ว ใครจะอยู่เป็นตัวจริงของลิเวอร์พูล
����������� และนี่ก็เป็นเหตุการณ์ของทีมลิเวอร์พูลในปัจจุบัน สำหรับนัดชิงในรอบต่อไป สามารถลองมาร่วมเดิมพันผลแพ้ชนะกันได้ที่� CMD368 แม้ช่วงหลังคะแนนจะตกไปเยอะ แต่เชื่อว่าทีมลิเวอร์พูลคงสร้างกำลังใจและพร้อมลุยในอีกนัดที่เหลือเพื่อจะเข้าสู่ศึกของยูฟ่าแชปเปียนส์ลีกอย่างแน่นอน