เจมี่ คาร์ราเกอร์ จวก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ วางแผนสัมภาษณ์กดดันสโมสรหลังเกมเสมอลีดส์ ชี้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซาลาห์กับเอเยนต์ใช้ช่วงเวลาวิกฤติสร้างปัญหา พร้อมเตือนว่าก่อนมาอยู่ลิเวอร์พูลเจ้าตัวยังไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ดังอย่างทุกวันนี้
ซาลาห์ จุดประเด็นร้อนหลังจบเกมที่ต้นสังกัดเสมอกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ทั้งการบอกว่าไม่พอใจที่โดนดร็อปเป็นตัวสำรอง 3 เกมรวด, การบอกว่าความสัมพันธ์กับ อาร์เน่อ สล็อต เฮดโค้ชของทีมเปลี่ยนไป และเรื่องที่ว่าสโมสรไม่รักษาสัญญา
คาร์ราเกอร์ เผยว่า "ผมคิดว่าสิ่งที่เขาทำหลังจบเกมมันเป็นเรื่องที่น่าอัปยศมากๆ บางคนบอกว่ามันเป็นเพราะอารมณ์พาไป แต่ผมไม่คิดแบบนั้น ผมคิดว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ โม ซาลาห์ ไปให้สัมภาษณ์ในมิกซ์โซนแล้วน่ะ มันก็เกิดจากการวางแผนเป็นอย่างดีระหว่างเขากับเอเยนต์ของเขาเพื่อที่จะสร้างความเสียหาย (ให้กับ ลิเวอร์พูล) มากที่สุด รวมถึงทำให้สถานะของเขาเองดูดีขึ้น ซึ่งตลอดช่วง 8 ปีที่อยู่กับ ลิเวอร์พูล เขาก็ให้สัมภาษณ์ในมิกซ์โซนไป 4 ครั้งเห็นจะได้"
"12 เดือนก่อนเขาก็เคยทำแบบนี้มาแล้ว ซึ่งผมก็เคยตำหนิเขาในรายการนี้นี่แหละ เขาเอาความรู้สึกของแฟนบอล ลิเวอร์พูล มาใช้เป็นประโยชน์ของตัวเอง ตอนนั้น ลิเวอร์พูล กำลังนำเป็นจ่าฝูงของลีก เขาทำประตูชัยในเกมกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ได้ด้วย สำหรับเขาแล้วนั่นคือช่วงเวลาอันเหมาะเจาะที่จะออกมาสร้างความกดดันให้กลุ่มเจ้าของทีม ลิเวอร์พูล ดังนั้นคุณเลยเห็นแฟนบอลทำป้ายที่มีข้อความว่า -ให้เงินตามที่ โม ต้องการ- มาชูตลอดช่วงที่เหลือของฤดูกาล"
"หนนี้เขาเลือกที่จะใช้เกมในช่วงสุดสัปดาห์มาเป็นเวทีสำหรับเรื่องนั้น เขารอคอยให้ทีมมีผลการแข่งขันที่แย่ๆ ซึ่งพวกเขาก็มาเสียประตูในนาทีสุดท้ายพอดี แฟนบอล ลิเวอร์พูล, ผู้จัดการทีม และทุกคนในสโมสรต่างก็กำลังรู้สึกปวดร้าว ซึ่งเขาก็เลือกช่วงเวลานั้นในการเล่นงานผู้จัดการทีม รวมถึงอาจจะพยายามปลุกปั่นให้เขาโดนปลด ผมมองแบบนั้น"
"สำหรับผมแล้วประโยคที่เป็นประเด็นมากที่สุดคือการโบ้ยความผิด (thrown under the bus) ทั้งที่จริงๆ แล้วเขานั่นแหละที่พยายามโบ้ยความผิดให้สโมสรถึง 2 ครั้งในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมากับสถานการณ์ที่ผมพูดไปก่อนหน้านี้"
"ก่อนหน้านี้เขาพุ่งเป้าไปที่เจ้าของทีม ทั้งที่เจ้าของทีมกลุ่มเดียวกันนี้คือคนที่จ่ายเงินหลายล้านปอนด์ให้กับเขามาถึง 6 ปี เมื่อปีก่อนเขาก็ออกมาบ่นเพราะเจ้าของสโมสรไม่ได้มอบสัญญาฉบับใหม่ให้กับเขาตอนที่เขาอายุ 32 ปี ทั้งที่จริงๆ แล้วสโมสรมีสิทธิ์ทำแบบนั้นอย่างเต็มเปี่ยม"
"กับการเล่นให้กุนซือคนปัจจุบันน่ะ ซาลาห์ ควรจะต้องพยายามให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อช่วยให้สโมสรหลุดพ้นจากช่วงที่มีผลการแข่งขันย่ำแย่ที่สุดติดต่อกันนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1950 แต่เขาก็ไม่ได้ทำแบบนั้น"
"แน่นอน ผมไม่ใช่ โม ซาลาห์ เขาคือนักเตะที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ถ้าถามว่านักเตะระดับนั้นควรจะได้รับการปฎิบัติที่ต่างออกไปรึเปล่าแล้วล่ะก็ ผมก็คิดว่ามันควรจะะต้องมีการทำแบบนั้น ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมานักเตะที่พอจะเข้าข่ายนั้นคือ เมสซี่, โรนัลโด้ และ เอ็มบัปเป้"
"แน่นอนว่าผมคงไม่ถึงขั้นยกให้ ซาลาห์ อยู่ในกลุ่มเดียวกับคนเหล่านั้น แต่ถ้าพิจารณาถึงสิ่งที่เขาทำให้ ลิเวอร์พูล มันก็ต้องบอกว่าเขาใกล้เคียงกับการมีสถานะแบบนั้น เขาเป็นตำนาน และคนเป็นตำนานก็จะได้รับสิทธิ์พิเศษ ถ้าเป็นกรณีของ ซาลาห์ กับ ลิเวอร์พูล มันก็คือการที่เขาไม่จำเป็นต้องวิ่งลงมาช่วยเกมรับ แต่เมื่อเราพูดถึงการโบ้ยความผิดแล้วน่ะ เขาต่างหากคือคนที่ทำแบบนั้นกับ ลิเวอร์พูล ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา"
"ลองคิดดูสิว่ามันจะรู้สึกยังไงที่ต้องเจอกับสถานการณ์แบบนั้นมา 8 ปี แต่เรายอมรับมันเพราะเขาคือนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ เขายิงได้ 250 ลูก และทำให้แฟนบอล ลิเวอร์พูล อย่างผมมีค่ำคืนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของผมด้วยการดูฝีเท้าของเขารวมถึงสิ่งที่เขาทำได้"
"ผมอยากจะขอเตือนความจำ โม ซาลาห์ กับเอเยนต์ของเขาหน่อยนะว่าก่อนหน้ที่เขาจะมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล น่ะ เขาเป็นที่รู้จักในฐานัคนที่ล้มเหลวกับ เชลซี นั่นคือเรื่องจริง ซาลาห์ ไม่เคยได้แชมป์ อาฟคอน ด้วยซ้ำทั้งที่ อียิปต์ คือชาติที่ได้แชมป์ อาฟคอน มากที่สุดในประวัติศาสตร์"
"ที่พูดแบบนี้มันไม่ใช่ว่าผมพยายามจะดูหมิ่น ซาลาห์ ในฐานะนักเตะ ผมแค่อยากจะบอกว่าเขาคือหนึ่งในนักเตะที่เก่งที่สุดของโลกในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา มันมีแค่ไม่กี่คนที่เก่งกว่าเขา แต่ ซาลาห์ กับเอเยนต์ของเขาควรจะเข้าใจว่าสิ่งที่สำคัญมันไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเอง ก่อนจะมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล เขาไม่ใช่สตาร์ดังเลย เขาไม่เคยได้แชมป์อะไรทั้งนั้นกับ อียิปต์ นั่นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าไม่ว่าคุณจะเป็นนักเตะที่เก่งแค่ไหน แต่คุณก็จำเป็นต้องช่วยเพื่อนร่วทีม, ผู้จัดการทีม และแฟนบอลของทีมด้วย"
"มันเป็นเรื่องสำคัญที่เขาต้องจดจำถึงเรื่องนั้นให้ได้ แต่กลับกลาเป็นว่าเวลาที่เขาให้สัมภาษณ์ในมิกซ์โซนหลังจบเกมเขาเอาแต่พูดถึงเรื่องของตัวเองเท่านั้น"