แอนดี้ แคร์โรล์ เจ้าของสถิตินักเตะค่าตัวแพงที่สุดของสโมสร ย้ายจาก นิวคาสเซิ่ล มาร่วมทีม "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ในวันสุดท้ายก่อนตลาดหน้าหนาว ในเดือนมกราคม 2011 จะปิดลงไม่กี่ชั่วโมง

เคนนี่ ดัลกลิช ตั้งใจคว้าตัว แคร์โรล์ เพื่อมาประสานงานร่วมกับ หลุยส์ ซัวเรซ โดยเขาได้รับ มอบเสื้อหมายเลข 9 ซึ่งถือเป็นหมายเลขที่ดาวยิงชื่อดังในรั้ว แอนฟิลด์ใช้สวมใส่สร้างชื่อขึ้นมา

แคร์โรล์ นั้นผ่านการขัดเกลาจาก นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด และ มีโอกาสได้ประเดิม สนามให้ทีมชุดใหญ่ของสาลิกาดงครั้งแรก ด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปีกับ 300 วัน ในเกมพบกับ ปาแลร์โม่ ทำให้เขากลายเป็นเจ้าของสถิตินักเตะที่อายุน้อยที่สุด ที่ลงสนาม ให้ นิวคาสเซิ่ล ไปโดยปริยาย

ต้นปี 2007 แคร์โรล์ ได้รับเลือกให้คว้ารางวัล แจ็คกี้ มิลเบิร์น โทรฟี่ ซึ่งจะมอบ ให้กับนักเตะดาวรุ่งที่มีผลงานดีที่สุดในรอบปีจากการลงคะแนนโดยเหล่านักเตะ สาลิกาดง ซึ่งในปีนั้นเองเขาก็เป็นกองหน้าของทีมสาลิกาดง ยู 18 ลงแข่งในเอฟ เอ ยูธ คัพ เจอกับ ลิเวอร์พูลในรอบรองชนะเลิศมาแล้วด้วยแถมยังทำประตู ทีมหงส์แดงได้ด้วยในการเจอกันนัดแรก

ด้วยฟอร์มการเล่นที่แข็งแกร่งในลูกกลางอากาศทำให้ เควิน คีแกน อดีตตำนาน ของ ทั้งลิเวอร์พูล และ นิวคาสเซิ่ลถึงกับออกมาหลุดปากชมว่า เขาเป็นหนึ่งใน 3 อันดับ แรกของจอมโขกที่เขาเคยเห็นมาเลยทีเดียว

แคร์โรล์ มาพังประตูในทีมชุดใหญ่ของนิวคาสเซิ่ลลูกแรกได้ในชัยชนะเหนือ ยูเวนตุส ในเกมอุ่นเครื่องก่อนเปิดฤดูกาลเมื่อ 29 มิถุนายน 2007 ซึ่งทำให้เขา ได้รับ คำชมเชยจาก จานลุยจิ บุฟฟ่อน จอมหนึบมือหนึ่งทีมชาติอิตาลีว่าจะต้อง โด่งดังแน่นอนในอนาคต

อย่างไรก็ตาม แคร์โรล์ ยังไม่ได้แจ้งเกิดกับนิวคาสเซิ่ลอย่างเต็มตัว เขาถูกส่ง ตัวไป ขัดเกลา ฝีเท้าช่วงระยะเวลานึงกับ เปรสตัน นอร์ธเอนด์ ด้วยความที่ยังอ่อน ประสบการณ์ทำให้ผลงานที่นั่นของเขาไม่ดีเท่าไหร่ โดยทำไปได้เพียงแค่ 1 ประตู จากการ ลงสนาม 12 นัดแถมยังอารมณ์ร้อนจนโดนไล่ออกจากสนาม มาแล้วด้วย

ฤดูกาล 2008-09 แคร์โรล์ กลับมาเล่นให้กับ นิวคาสเซิ่ล อีกครั้ง ซึ่งเขาก็ได้รับ โอกาสมากขึ้นในฐานะตัวสำรอง โดยได้ลงสนามไปทั้งหมด 16 เกมทำไป 3 ประตู พร้อมกับได้รับการต่อสัญญาใหม่จากสโมสรไปอีก 3 ปีครึ่ง แต่น่าเสียดายที่ปีนั้น นิวคาสเซิ่ล ตกชั้นสู่ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ

ฤดูกาล 2009-10 ถือเป็นฤดูกาลแจ้งเกิดของ แคร์โรล์ อย่างเต็มตัว เพราะการจาก ไปของสตาร์ดังอย่าง ไมเคิ่ล โอเว่น, มาร์ค วิดูก้า และ โอบาเฟมี มาร์ติน ทำให้ เขาถูกดัน ขึ้นมาเป็นดาวยิงตัวหลักของทีม ซึ่งแคร์โรล์ก็ไม่ทำให้แฟน ๆ ผิดหวัง เมื่อเขากดไปถึง 19 ประตู เป็นจำนวนที่มากที่สุดในทีม ช่วยพานิวคาสเซิ่ลคว้า ตำแหน่ง แชมป์ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ พร้อมกับพาทีมกลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลต่อมาได้สำเร็จ อีกทั้งจากผลงานรองดาวซัลโวของลีก ทำให้เขาได้รับ เลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยม ประจำฤดูกาลอีกด้วย

จากผลงานสุดร้อนแรงนี่เองทำให้นิวคาสเซิ่ลตัดสินใจมอบเสื้อหมายเลข 9 ให้ แคร์โรล์ สำหรับทำศึกพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นหมายเลขระดับตำนานของนิวคาสเซิ่ล อย่าง แจ็คกี้ มิลเบิร์น และ อลัน เชียร์เรอร์ เคยสวมใส่มาก่อน

แคร์โรล์ กลายเป็นขวัญใจของเหล่าทูน อาร์มี่ ไปเรียบร้อยจากความทุ่มเทที่มีให้ ในทุกเกมที่ลงสนาม

ฤดูกาลต่อมาในพรีเมียร์ลีกแบบเต็มๆ ของเขา แคร์โรล์ ยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง เมื่อเขากดไปถึง 11 ประตูจาก 19 เกมในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก นั่นรวมถึงประตู ยิงไกลสุดสวยที่ทำให้ นิวคาสเซิ่ล ปราบทีมหงส์แดง 3-1 ที่เซนต์ เจมส์ ปาร์ค ด้วย

จากฟอร์มร้อนนี่เองทำให้ แคร์โรล์ ถูก ฟาบิโอ คาเปลโล่ บอสใหญ่ทีมชาติอังกฤษ เรียกตัวไปติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ในเกมอุ่นเครื่องกับ ฝรั่งเศส เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2010 โดยได้สวมเสื้อหมายเลข 9 ของทีมสิงโตคำราม ซึ่งแคร์โรล์ ก็แสดงให้ คาเปลโล่ เห็นว่าเขานั้นเป็นเด็กหนุ่มที่พร้อมจะก้าวขึ้น มาเป็นสตาร์ใน อนาคต

น่าเสียดายทั้งที่ฟอร์มการเล่นกำลังดีต่อเนื่อง แต่แคร์โรล์มาได้รับบาดเจ็บ ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2010 อย่างไรก็ตามทั้งที่ยังพักรักษาตัวอยู่นั่นเอง ในวันสิ้นเดือนมกราคม 2011 วันสุดท้ายก่อนตลาดปิด ลิเวอร์พูลก็ทำเซอร์ไพรส์ ด้วยการทุ่มเงินเป็นสถิติสโมสร 35 ล้านปอนด์กระชากตัวเขามาแทนที่ เฟร์นานโด ตอร์เรส ที่ถูกขายไปให้กับ เชลซี โดยมีข่าวว่าข้อเสนอ 30 ล้านปอนด์ก่อนหน้านี้ โดนนิวคาสเซิ่ลปฏิเสธมาไม่ถึงชั่วโมงก็รีบอัพข้อเสนอและยื่นไปใหม่เลยทีเดียว

การย้ายทีมครั้งนี้สร้างความไม่พอใจให้กับเหล่าทูน อาร์มี่ อย่างมาก มีการประท้วง เจ้าของทีมกันเลย บางส่วนก็โจมตี แคร์โรล์ ที่เลือกย้ายทีมหนีไป

แคร์โรล์ย้ายมาทีมหงส์แดงทั้งที่ยังไม่ฟิต และ กว่าที่เขาจะได้ลงประเดิมสนามให้ ทีมลิเวอร์พูลจริงๆ ก็ปาไปเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2011 ที่เอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 3-1 โดยถูกส่งลงไปเป็นตัวสำรองในช่วงท้ายเกม

อีก 4 วันต่อมา แคร์โรล์ ก็มีโอกาสได้สัมผัสเกมยุโรปกับลิเวอร์พูลเป็นครั้งแรก ในการไปเยือน บราก้า ในศึกยูโรป้า ลีก โดยลงเป็นตัวสำรองอีกครั้งในต้นครึ่งหลัง

แคร์โรล์ ถูกเรียกตัวกลับไปติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่อีกครั้ง และ ครั้งนี้เขาทำ ผลงานได้อย่างน่าจดจำด้วยการทำประตูแรกในนามทีมชาติได้สำเร็จ ด้วยการยิง ด้วยซ้ายข้างถนัดตีเสมอกาน่า 1-1 กูหน้าให้ทีมไม่พ่ายคาเวมบลีย์ได้

29 มีนาคม 2011 แคร์โรล์ มีโอกาสได้ลงเป็นตัวจริงให้กับลิเวอร์พูลเป็นนัดแรก ในเกมพบกับ ซันเดอร์แลนด์ และ เจ้าตัวก็มาทำประตูแรกของตัวเองในสีเสื้อ ลิเวอร์พูลได้สำเร็จในเกมที่ชนะ แมนฯ ซิตี้ 3-0 เมื่อ 11 เมษายน 2011 ซึ่งเกมนี้ เขาเหมาเบิ้ลพร้อมกับรับตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมประจำเกมไปครอง

อย่างไรก็ตามในช่วงท้าย ๆ ฤดูกาล แคร์โรล์ มีอาการบาดเจ็บรบกวน แม้จะฟิตกลับ มาแต่ เคนนี่ ดัลกลิช ก็ไม่ต้องการฝืนใช้งานมาก โดย ดัลกลิช ต้องการให้เขา ได้พักอย่างเต็มที่เพราะเกรงว่าร่างกายดาวยิงรายนี้ยังไม่เข้าที่มากนัก

เคนนี่ ดัลกลิช ยังใจดีส่ง แคร์โรล์ ลงสนามพบกับนิวคาสเซิ่ลทีมเก่าด้วยแต่ก็ใน ฐานะตัวสำรองเท่านั้น

ในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา แคร์โรล์ มีชื่ออยู่ใน 40 รายชื่อนักเตะทีมชาติอังกฤษ ยู 21 ที่จะไปลุยศึกฟุตบอลยูโรที่เดนมาร์กด้วย ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ในวงกว้างว่า เป็นการสมควรหรือไม่ที่จะเรียกนักเตะ ที่ก้าวขึ้นไปเล่นทีมชาติชุดใหญ่ กลับลงมา ช่วยชุดเล็ก รวมถึง เคนนี่ ดัลกลิช ด้วยเพราะเขาพยายามประคบประหงม แคร์โรล์ มาตลอดไม่ให้กรำศึกหนักไป สุดท้ายแล้วเพื่อเป็นการตัดปัญหา เพียร์ซก็ไม่ได้ใส่ ชื่อเขาอยู่ใน 23 ขุนพลที่จะลุยรอบสุดท้าย

เมื่อฟิตกลับมาอีกครั้ง แคร์โรล์ ลงสนามในเกมปรีซีซั่น ของลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ ครบทุกนัด และก็ทำประตูไปได้แล้วในเกมพบกับ กวางดอง ซันเรย์ ในการทัวร์ เอเชีย