ราฟา เบนิเตซ เซ็นสัญญากับ มักซี่ โรดริเกวซ ปีกทีมชาติอาร์เจนติน่ามาร่วมทีม ในช่วงตลาดเปิดหน้าหนาวของฤดูกาล 2009-10

มักซี่ ซึ่งมีฉายาว่า "ลา ฟิเอร่า" เริ่มต้นอาชีพลูกหนังในระดับเยาวชนกับ นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ ก่อนจะได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะอาชีพในปี 1999

ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมแม้จะเป็นเพียงแค่ดาวรุ่ง ทำให้มีทีมในยุโรป ให้ความสนใจ และ ก็เป็น โอเบียโด้ ในลีกาสอง ที่คว้าตัว มักซี่ ไปร่วมทีมได้ ด้วยสัญญายืมตัว 6 เดือน

อย่างไรก็ตามชีวิตในแดนกระทิงดุครั้งแรกของ มักซี่ ไม่หอมหวานนัก เขามีโ อกาสได้ลงสนามเพียงแค่เกมเดียวเท่านั้น เมื่อหมดสัญญาเขาก็กลับไป เล่นให้ นีเวลล์ส อีกครั้ง

ในช่วงปิดฤดูกาลนั้น มักซี่ มีชื่อติดอยู่ในทีมชาติอาร์เจนติน่า ยู 20 ลงทำศึก ฟุตบอลโลก ยู 20 ที่บ้านเกิดเป็นเจ้าภาพ ซึ่งเจ้าตัวก็โชว์ฟอร์มได้โดดเด่นมาก ครองตำแหน่งดาวซัลโวของทีม พร้อมกับพาทีมฟ้าขาวชุดเล็กคว้าแชมป์โลก ในปีนั้นด้วย

ด้วยผลงานที่โดดเด่นจากทัวนาเม้นท์นี้เอง ทำให้ มักซี่ มีโอกาสได้ย้ายกลับมา เล่นในสเปนอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เป็นการเซ็นสัญญาอย่างถาวรโดย เอสปันญ่อล ในลีกลาลีกา หรือ ลีกสูงสุดของประเทศ

มักซี่อยู่ในถิ่นคาตาโลเนีย 3 ฤดูกาล ลงสนามไปทั้งหมด 110 เกม ทำได้ 26 ประตู พร้อมกับก้าวขึ้นไปติดทีมชาติอาร์เจนติน่าชุดใหญ่ได้สำเร็จในปี 2003 โดยได้ ประเดิมสนามพบกับ ทีมชาติญี่ปุ่น

ก่อนเริ่มฤดูกาล 2005-06 แอตเลติโก มาดริด ยักษ์ใหญ่อีกรายแห่งลาลีกา ก็ได้เสนอเงินก้อนโตให้กับ เอสปันญ่อล เพื่อแลกกับตัว มักซี่ ไปร่วมทีม ซึ่งทาง เอสปันญ่อล เองก็ยากที่จะปฏิเสธข้อเสนอมูลค่าสูงนี้ได้ ทำให้ มักซี่ ได้ย้ายมา ร่วมทีมตราหมีในเวลาต่อมา

มักซี่มีชื่อติดทีมชาติอาร์เจนติน่าชุดลุยฟุตบอลโลก 2006 และ ในทัวนาเม้นท์ นี้เอง ที่เจ้าตัวก็แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในฐานะนักเตะระดับแนวหน้า ทั้งในเกม ที่ยิงประตูใส่ ทีมชาติเซอร์เบีย และ มอนเตเนโกร ในเกมที่ทีมชาติอาร์เจนติน่า ชนะ 6-0 รวมถึงประตู ในช่วงต่อเวลาพิเศษที่เฉือนเอาชนะ ทีมชาติเม็กซิโก ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยประตูนี้ในภายหลังได้รับการคัดเลือกให้เป็นประตู ยอดเยี่ยม แห่งฟุตบอลโลกครั้งนี้ด้วย

อย่างไรก็ตาม มักซี่ เองก็มีรอยมลทินจากเกมที่พ่ายต่อ ทีมชาติเยอรมัน เจ้าภาพ หลังเกมมีการปะทะกันระหว่างนักเตะทั้งสองทีม ซึ่งภาพช้าจับได้ว่า มักซี่ ไปเหวี่ยงหมัดใส่ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ กองกลางของทีมชาติเยอรมัน ทำให้เขาโดนปรับจากฟีฟ่าไปถึง 5,000 ฟรังค์สวิสพร้อมกับโดนแบนไป 2 เกม ซึ่งทำให้เขาพลาดโอกาสในการ ช่วยทีมชาติอาร์เจนติน่าในโคปา อเมริกา ไปอย่างน่าเสียดาย

ในเดือนตุลาคม 2006 มักซี่ กลับมามีชื่ออยู่ในทีมชาติอีกครั้งในเกมอุ่นเครื่องกับ สเปน แต่เขาก็โชคร้ายได้รับบาดเจ็บที่เข่าทำให้ในตลอดฤดูกาลนั้น เจ้าตัว ได้ลงสนามเพียงแค่ 10 เกมเท่านั้น

อย่างไรก็ตามในฤดูกาลต่อมา เมื่อเฟร์นานโด ตอร์เรสย้ายไปอยู่กับลิเวอร์พูล เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นกัปตันทีมคนใหม่แทน และ เหมือนเป็นการตอบแทน ความไว้ใจของโค้ช มักซี่ซึ่งเรียกความฟิตกลับมาเต็มร้อย ก็งัดเอาฟอร์มเก่ง คืนกลับมา ในฤดูกาลนั้นเขาพาแอตเลติโก มาดริด คว้าอันดับที่ 4 ในลาลีกา ซิวตั๋วไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีด้วย

และในศึกแชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลถัดมา มักซี่ นี่เองที่เป็นคนทำประตูให้ แอตเลติโก มาดริด นำ ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ ก่อนจะจบลงด้วยสกอร์ 1-1 โดยในฤดูกาลนั้น มักซี่พาแอตเลติโก มาดริดไปได้ไกลถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย ส่วนในลาลีกาเองก็คว้าอันดับที่ 4 อีกครั้ง

ในช่วงปรีซีซั่นก่อนเปิดฤดูกาล 2009-10 มักซี่ก็มายิงประตูในแอนฟิลด์อีกครั้ง ในเกมอุ่นเครื่องที่ชนะ ลิเวอร์พูล 2-1 พร้อมกับข่าวคราวว่าเจ้าตัวเริ่มต้องการ ย้ายออกจากถิ่นบิเซนเต้ กัลเดร่อนแล้ว

ในฤดูกาลนั้น มักซี่ ไม่ได้กลายเป็นตัวเลือกแรกของโค้ชอีกแล้ว และ ทำให้ เจ้าตัวตั้งใจที่จะย้ายออกจากทีมในช่วงตลาดเปิดหน้าหนาว จึงได้ทำการยกเลิก สัญญากับทีมและมองหาสโมสรใหม่ ประกอบกับลิเวอร์พูลเองกำลังมองหา นักเตะริมเส้นที่เล่นได้ทั้งสองฝั่งอยู่พอดี จึงทำให้ ราฟา เบนิเตซ เลือกที่จะ เซ็นสัญญากับ มักซี่

การมาอยู่แอนฟิลด์ในช่วงแรกของ มักซี่ ไม่ใช่เรื่องลำบากมากนัก เนื่องจาก ในทีมยังมีนักเตะอาร์เจนติน่าหลายคนไม่ว่าจะเป็น ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ ,เอมิเลียโน่ อินชัว รวมถึง เฟร์นานโด ตอร์เรส เพื่อนเก่าสมัยอยู่กับ แอตเลติโก มาดริด ด้วยทำให้เขานั้นปรับตัวเข้ากับทีมได้ไม่ยาก

มักซี่ ลงสนามให้ลิเวอร์พูลเกมแรก ในฐานะตัวสำรองพบกับ สโต้ค เมื่อ 16 มกราคม 2010 ก่อนจะได้ลงเป็นตัวจริงในอีกสัปดาห์ต่อมาในเกมพบกับ วูลฟ์แฮมป์ตัน ตลอดฤดูกาลแรกนั้น มักซี่ ได้โอกาสลงสนามทั้งหมด 17 เกม ทำไป 1 ประตูในเกมพบกับ เบิร์นลี่ย์ พร้อมกับมีชื่ออยู่ในทีมชาติอาร์เจนติน่าของ ดิเอโก้ มาราโดน่า ไปลุยฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้ด้วย